เมื่อพูดถึงเบตง จังหวัดยะลา แต่ละคนมองภาพเมืองนี้เป็นอย่างไร?
เราอาจจะติดภาพของความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เห็นในข่าวมาก็ตั้งแต่ปี 2547 แม้ช่วงหลังสถานการณ์คลี่คลายไปเยอะมากๆ แต่ภาพของสามจังหวัดชายแดนใต้ ในมุมของผม และคนที่ไม่เคยไป ก็ยังติดภาพของดินแดนที่มีด่านทหารเต็มเมือง และพร้อมจะเกิดความไม่สงบ
กระทั่งผม ได้ยินมาว่า เบตง ไม่น่ากลัว แต่เป็นเมืองเล็กๆ กลางหุบเขา ที่อากาศดีตลอดทั้งปี ธรรมชาติสวยงาม ผู้คนน่ารัก และทะเลหมอกมีตลอด
อืมมมม เอาตรงๆ ผมก็เห็นจากรีวิวมาบ้างก็จริงตามที่ว่าแหละ
แต่ถ้าจะให้ดี ลงไปดูด้วยตาและขาตัวเองดีกว่า
เบตง สวรรค์ของทาสแมว
11 ชั่วโมงกับอีกราวๆ 25 นาที ตอนนี้ผมมายืนอยู่ที่หน้าหอนาฬิกากลางเมืองเบตง
ผมออกจากบ้านไปสนามบินตั้งแต่ตี 5 เดินทางด้วยเครื่องบินจากดอนเมืองลงที่หาดใหญ่ตอน 10 โมงครึ่ง แล้วนั่งรถตู้หาดใหญ่ – เบตง ตั้งแต่บ่ายโมง ฝ่าโค้งมาน่าจะหลักพันโค้ง มาถึงเบตง ตอน 4 โมงครึ่ง
เรียกว่าหมดไปแล้วครึ่งวัน กว่าจะมาถึงเบตง เมืองเล็กๆ ขนาดที่ว่าเราสามารถเดินเล่นรอบย่านเศรษฐกิจกลางเมืองเบตง ได้ในเวลาไม่เกินครึ่ง 40 นาที ก็ทั่วและเก็บครบ
ส่วนรอบนอกของเมืองก็จะมีสนามกีฬา และสวนสาธารณะที่เป็นพื้นที่สาธารณะที่ยามเย็นคนจะไปนั่งเล่น และออกกำลังกายกันเยอะมาก ที่สำคัญที่นี่อากาศดีจริง สมคำร่ำลือ
ตัวเมืองเบตง มีความน่ารักแฝงอยู่คือสตรีทอาร์ต ที่นี่มีสตรีทอาร์ต วาดไว้อยู่เต็มเมือง ซึ่งเป็นความตั้งใจของชาวเมือง และเทศบาล ที่อยากจะเอาศิลปะ มาทำให้เมืองดูน่ารักขึ้น แล้วก็จริงครับ มาเบตง ก็ต้องถ่ายรูปกับสตรีทอาร์ตนี่แหละ
ส่วนภาพสตรีทอาร์ตก็มีหลายแนว แต่ที่ผมสังเกตคือ สตรีทอาร์ตที่นี่ มีแมวอยู่ในภาพเยอะมาก เกือบทุกงานที่เจอ เราสังเกตเลยว่าแมวเยอะจริงๆ จนมีช่วงหนึ่ง ผมถาม ‘พี่ฟก’ เจ้าถิ่นและเจ้าของ FOTO Hostel ที่ผมพักว่า ทำไมแมวเยอะจัง
พี่ฟก เล่าว่าตอนแรกที่มีการสำรวจพื้นที่สำหรับวาดสตรีทอาร์ต กลุ่มศิลปิน เห็นแมวในเบตง เยอะมาก แมวเลยกลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ ที่ถูกนำมาเป็นภาพวาดบนผนัง
แล้วก็จริงครับ เบตง นี่แมวเยอะมาก ทั้งแมวจร และแมวเลี้ยงที่เลี้ยงแบบระบบเปิด เราสามารถพบเจอแมวได้เกือบทุกมุมของเมือง ที่ญี่ปุ่น กลางโตเกียว มีย่านแห่งแมวชื่อว่า ยานากะ ซึ่งผมไปมาแล้ว ยืนยันว่า ยานากะ สู้เบตง ไม่ได้เลย
นอกจากอากาศจะดี อาหารราคาถูกแล้ว ที่นี่แมวก็มีเยอะมากทาสแมวน่าจะชอบเมืองนี้ไม่ยาก
Skywalk อัยเยอร์เวง จุดชมทะเลหมอก และจุดเริ่มต้นของความสงบในพื้นที่
“ก่อนหน้านั้นอัยเยอร์เวงคือพื้นที่สีแดง คนนอกพื้นที่เข้าไปนี่ชาวบ้านออกมาดูเลยว่าใคร เราก็ระแวงว่าเขาจะทำอะไร เขาก็ระแวงว่าเราเป็นใครจะเข้ามาทำอะไร”
พี่ฟก เล่าเรื่องตำบลอัยเยอร์เวง ที่เป็นจุดชมทะเลหมอก ที่ห่างจากโอสเทลของเราไปประมาณ 32 กิโลฯ ก่อนหน้านั้นเมื่อราว 4 – 5 ปีก่อน ก็ต้องยอมรับว่าพื้นที่สีแดง ก็ยังมีในหลายจุด ขนาดคนในตัวเมืองเบตง เองก็ยังไม่กล้าที่จะไป
ในช่วงนั้นกลุ่มช่างภาพในตัวเมืองเบตง รวมถึงพี่ฟก ถูก อบต. ชวนไปถ่ายรูปทะเลหมอกอัยเยอร์เวง เพื่อให้ช่วยโปรโมทที่เที่ยวใหม่ของเบตง แต่เขาเองก็ไม่เชื่อว่าจะมีทะเลหมอกสวยๆ ใกล้บ้านเราขนาดนี้เลยเหรอ จนกระทั่งไปเห็นด้วยตาตัวเอง ถึงได้เชื่อว่า เออ…ทะเลหมอกโคตรสวย
แต่ในความสวยก็มีความกังวลว่าที่นี่จะเปิดให้คนมาได้จริงเหรอ
เพราะมันเป็นพื้นที่สีแดงนะ
“ตอนนั้นที่เข้าไปถ่ายรูปกัน ชาวบ้านยังออกมาดูรถเราเลยว่าใครเข้ามาในพื้นที่ มันเป็นพื้นที่สีแดงเขาจะระแวงก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แล้วตอนที่ผมไปก็มีคนคุ้มกันถือปืนไปด้วย 2 คน มันรับรองความปลอดภัยไม่ได้” พี่ฟก ย้อนอดีตให้ฟัง
แต่หลังจากนั้นภาพทะเลหมอกอัยเยอร์เวง เริ่มถูกปล่อยลงในอินเทอร์เน็ต คนก็เริ่มฮือฮามาบ้างว่าเบตง ทะเหมอกสวยขนาดนี้เลยเหรอ ประกอบกับทาง ปลัด อบต. อัยเยอร์เวง ‘ดร. อารีย์ หนูชูสุข’ ก็ตั้งใจจะดันให้ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง เป็นจุดขาย เพื่อสร้างโอกาส สร้างอาชีพ และรายได้ให้คนในพื้นที่
ในที่สุดปลายตุลาคมปี 2563 Skywalk ชมทะเลหมอกอัยเยอร์เวง ที่เป็นหอสูง 63 เมตร ก็เปิดให้บริการ จากนั้นคนก็ค่อยๆ เดินทางมาเที่ยวที่นี่มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อชมทะเลหมอก ซึ่งการมาถึงของสถานที่ท่องเที่ยวแห่งล่าสุดของเบตง ทำให้พื้นที่ของอัยเยอร์เวง ที่เคยเป็นพื้นที่สีแดง เปลี่ยนเป็นสีเขียวแทบจะทันที
จากเดิมที่ชาวบ้านไม่ยิ้ม มีความระแวงเมื่อคนต่างถิ่นเข้ามา กลายเป็นรอยยิ้มที่ต้อนรับนักเดินทางจากต่างถิ่น และมีอาชีพ มีโอกาสเกิดขึ้น เพราะการท่องเที่ยว
ส่วนความสวยงามของทะเลหมอกที่อัยเยอร์เวง ผมไปสัมผัสมาด้วยตัวเอง ก็คิดแบบที่พี่ฟก และทีมช่างภาพชุดแรกที่เข้ามาถ่ายรูปเลยคือ ทะเลหมอกโคตรสวย เพราะเราเห็นวิวทะเลหมอกแบบ 180 องศา
ส่วนการเดินทางง่ายมาก รถยนต์เข้าถึงเลย ก็ไม่แปลกที่ผู้มาเยือนจะเป็นผู้ใหญ่วัยเกษียณ ที่มากับครอบครัว หรือมาเป็นทัวร์เลย และที่ผมสังเกตคือเบตง มีผู้สูงอายุมาเที่ยวเยอะมากอย่างน่าประหลาดใจ
แต่นั่นก็เป็นการการันตีได้ระดับหนึ่งแล้วว่าเบตง ไม่น่ากลัวอย่างที่เราเคยคิด
ชมทะเลหมอกแบบ 360 องศาที่ฆูนุงซีรีปัตแบบส่วนตัว
เมื่อวานนี้สถานที่ที่เราไปคือจุดท่องเที่ยวระดับ ‘ทัวร์ลง’
คือต้องบอกแบบนี้ครับว่า Skywalk อัยเยอร์เวง นี่ทัวร์ลงของจริง คนเต็ม คนแน่น ร้านอาหารก็แน่น สำหรับคน Introvert ไปเจอภาพตรงหน้าที่วุ่นวายด้วยกองทัพทัวร์ อาจจะมีเซ็งบ้าง ถึงวิวจะสวยก็จริง แต่เจอคนเยอะๆ วุ่นวาย ก็อาจจะถอดใจ
แต่ถ้าอยากชมทะเลหมอกแบบเงียบๆ ไม่ป๊อบมากต้องไปที่ไหนในเบตง?
‘ฆูนุงซีรีปัต’ คือตัวเลือกที่ถูกต้อง เราตัดสินใจซื้อทัวร์กับทางโฮสเทล ที่เราพัก เพื่อจะไปชมทะเลหมอกแบบเอ็กคลูซีฟ ในวันถัดไป ซึ่งเป็นพี่ฟก และบังมะ หัวหน้าทัวร์ ที่พา ลูกทัวร์รวมผมด้วย 3 ชีวิต ออกจากโฮสเทลตี 4 ครึ่ง (ทริปนี้ผมตื่นตี 4 ครึ่ง 3 วันติดแล้ว ตื่นเช้าเป็นอาจารย์ชัชชาติเลย) ไปเดินป่าตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง เพื่อไปให้ถึงยอด
ฆูนุงซีรีปัต เป็นยอดเขาสูงที่สามารถมองเห็นได้จาก Skywalk อัยเยอร์เวง ได้ เพราะมันสูงแหลมเด่นมากๆ เด่นขนาดที่ว่าขับรถออกจากตัวเมืองเบตง ก็มีโอกาสเห็นยอดเขาแหลมๆ ปรากฎอยู่
แต่อันที่จริงฆูนุงซีรีปัต เพิ่งถูกนำมาโปรโมทเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้เมื่อไม่นาน ถือเป็นหนึ่งในจุดชมทะเลหมอกน้องใหม่ของเบตง ก็ได้ เดิมทีขึ้นลงได้ทางเดียว และเป็นเส้นทางที่ต้องนั่งรถเข้าไปยังจุดจอดรถ แล้วต่อรถ 4WD เข้ามาอีกเพื่อจะเดินอีกประมาณ 700 – 800 เมตรไปถึงยอด
แต่ตอนที่ผมไป มีทางขึ้นใหม่ที่ขับรถอะไรก็ได้มาจอดบริเวณลานกางเตนท์ แล้วเดินขึ้นไปแค่ 600 เมตรหรือไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็ถึงยอดเขาเลย เวรี่ง่ายมาก
อ่า…จริงๆ มันก็ไม่ได้เวรี่ง่ายมากขนาดนั้นสำหรับคนที่ไม่ถนัดขึ้นทางชัน หรือเดินเขา เพราะทางขึ้นฆูนุงซีรีปัต นี่เอาเข้าจริงๆ ก็ชันใช้ได้ ชันระดับที่ว่าต้องไต่เชือกไปเรื่อยๆ เกือบตลอดทาง จนถึงยอดเขานั่นแหละ
แต่พอไปถึงยอดเขา วิวที่เห็นก็คือ ความสวยงามและความเงียบสงบ มาก สวยงามจากวิวทะเลหมอก รอบตัวแบบ 360 องศาจริงๆ เราหมุนตัวหนึ่งรอบก็จะเห็นวิวมุมสูงแบบไม่มีอะไรบัง
ยอดเขาฆูนุงซีรีปัต เป็นลานโล่งๆ แต่ไม่ได้กว้างมาก ถ้าคะแนด้วยสายตา คิดว่าพื้นที่ประมาณ คอนโด 30 – 35 ตารางเมตร จุคนได้ไม่มาก และตอนที่ผมไปมีคนไม่ถึง 15 คน อยู่บนยอดเขา ที่กำลังหามุมชมวิวถ่ายรูปของตัวเอง มันเงียบสงบมาก จนใช้เวลาอยู่บนนี้ได้ 2 – 3 ชั่วโมงยังได้
อันที่จริงหลังจากที่ผมมองวิวของภาคใต้จากมุมสูง ผมคิดว่าภูมิศาสตร์ของภาคใต้มันสวยไม่แพ้ภาคเหนือเลย และดูเหมือนว่าจะอุดมสมบูรณ์มากกว่าด้วยซ้ำ อาจจะเพราะเป็นพื้นที่มีฝนเกือบทั้งปี ป่าเลยโต และเขียวชะอุ่มตลอดทั้งปี
มองไปนานๆ ก็รู้สึกได้ว่า เออ…คุ้มค่าที่ตื่นเช้าขึ้นมาดูจริงๆ
ผมใช้เวลาอยู่ที่เบตง 3 วัน 2 คืน แต่มันเป็นช่วงเวลาที่ผมคิดว่าไม่พอ ถึงจะบอกว่าเบตง เป็นเมืองเล็กๆ ก็จริง แต่หากเป็นไปได้ ก็อยากจะอยู่เบตง ให้นานกว่านี้อีกหน่อย เพื่อสำรวจธรรมชาติและชีวิตของคนเบตง ให้มากขึ้น
และจากบรรยากาศของเมืองเบตง ที่ผมเจอมาด้วยตัวเอง ก็ยิ่งเป็นการยืนยันว่าสามจังหวัดชายแดนใต้ รวมถึงเบตง ไม่ได้น่ากลัว อย่างภาพที่เราสร้างไว้ในจินตนาการที่เห็นจากข่าว ถ้าไม่ได้ลงมาสัมผัสด้วยตัวเอง
ภาพที่วาดไว้ว่านี่คือดินแดนแห่งความรุนแรง และความขัดแย้งจะหายไป