ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2554 สื่อโทรทัศน์ทุกช่องทั่วโลก ต่างพากันตัดสัญญาณแพร่ภาพรายการปกติเพื่อรายงานข่าวด่วนที่เกิดขึ้นจากซีกโลกตะวันออก ภาพคลื่นยักษ์จากมหาสมุทรไหลบ่าเข้าท่วมเมืองและหมู่บ้านริมชายฝั่ง กลายเป็นภาพที่ช็อคคนทั้งโลก และยังเป็นฝันร้ายของชาวญี่ปุ่น ที่ต้องเผชิญกับหายนะภัยครั้งใหญ่จากท้องทะเล
เหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 9.0 แมกนิจูด ซึ่งมีจุดศูนย์กลางลึกลงไป 32 กม. บริเวณนอกชายฝั่งทางตะวันออกของภูมิภาคโทโฮกุ ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะฮอนชู ประเทศญี่ปุ่น แผ่นดินไหวครั้งนี้ถือเป็นแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงมากที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก นับตั้งแต่มีการบันทึกสถิติ และยังก่อให้เกิดคลื่นสึนามิขนาดใหญ่เข้าถล่มชายฝั่งบริเวณดังกล่าว ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 18,000 คน อาคารบ้านเรือนได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง
เหตุการณ์ครั้งนี้เลวร้ายลงยิ่งขึ้น เมื่อเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ของโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะไดอิชิเกิดระเบิด หลังจากที่โรงงานได้รับความเสียหายจากคลื่นยักษ์สึนามิ เป็นเหตุให้กัมมันตรังสีรั่วไหลออกมา ทำให้ทางการอพยพประชาชนมากกว่า 150,000 คน ออกจากพื้นที่ใกล้เคียง ภัยพิบัติครั้งนี้สร้างความเสียหายมากกว่า 122,000 ถึง 235,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ตามการประมาณการของธนาคารโลก ถือเป็นภัยพิบัติที่สร้างความหายนะให้กับประเทศญี่ปุ่นมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
แม้เวลาจะผ่านมากว่า 14 ปีแล้ว แต่เหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิครั้งนั้น ยังคงส่งผลกระทบต่อชาวญี่ปุ่นจนถึงทุกวันนี้ ทั้งความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากสึนามิ และการรั่วไหลของกัมมันตรังสี ซึ่งส่งผลให้ประชาชนที่เคยอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกว่า 40,000 คน ไม่สามารถกลับเข้าไปได้
แต่ถึงกระนั้น ทั้งภาครัฐและประชาชนในพื้นที่ต่างพยายามที่จะฟื้นฟูความเสียหายที่เกิดขึ้นจากภัยพิบัติครั้งนี้ ทั้งการสร้างแนวกำแพงป้องกันคลื่นยักษ์ที่มีความสูงมากกว่าเดิม รวมทั้งความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิชิ
และเมื่อปี 2564 ในช่วงที่ญี่ปุ่นกำลังจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2020 ได้มีการวิ่งคบเพลิงในบริเวณที่เคยได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติเมื่อปี 2554 เพื่อแสดงให้เห็นถึงความพยายามของชาวดินแดนอาทิตย์อุทัยที่จะลุกขึ้นมาใหม่ และต่อสู้กับวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น