คืนหนึ่งปี 1966 ณ ใจกลางกรุงลอนดอน วง Cream ที่ประกอบไปด้วย Eric Clapton มือกีตาร์ผู้ยิ่งใหญ่จนถูกเรียกขานว่าเป็น ”พระเจ้า” ได้อนุญาตให้ชายหนุ่มคนหนึ่งขึ้นมาเล่นแจมด้วยกัน การที่มาพบกับ Clapton นั้นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ Chas Chandler สมาชิกวง The animals ที่เป็นผู้จัดการของชายหนุ่มได้เชิญชวนให้เขามาที่อังกฤษ เพลงที่ชายหนุ่มคนนั้นเล่น คือ Killing Floor ของ Howling Wolf’s เพลงที่เป็นที่รู้กันว่าเล่นยากมาก แม้แต่ตัวของ Clapton เองก็ยังไม่สามารถเล่นให้ออกมาสมบูรณ์ได้
Clapton ได้ออกไปขณะที่ยังเล่นได้ถึงแค่กลางเพลง เมื่อ Chandler เดินตามก็พบ Claption ที่กำลังสูบบุหรี่ ก่อนที่จะพูดอย่างหงุดหงิดออกมาว่า “คุณไม่เคยบอกว่าเขาแม่งโครตเก่งเลย” และคืนนั้นก็กลายเป็นเรื่องเล่าที่ถูกกล่าวขานกันว่า “ คืนที่จิมมี่ฆ่าพระเจ้า”
นี่เป็นหนึ่งเรื่องเล่าที่ทุกคนจะนึกถึงชายผู้หนึ่งที่เป็นตำนานของวงการดนตรี
ซึ่งหากวันนี้เขายังมีชีวิตอยู่เขาจะมีอายุครบรอบ 79 ปี และเชื่อว่าจะมีผลงานระดับตำนานออกมาให้ฟังอีกมากมาย แต่น่าเสียดายที่เขามีเวลาอยู่บนโลกเพียงแค่ 27 ปี หรือหากนับเวลาในวงการเพียงแค่ 4 ปีเท่านั้น
สำหรับวงการดนตรีแล้ว เขาเป็นเหมือนอาจารย์ที่เด็กๆ หลายคนทีเล่นกีตาร์ พยายามจะเล่นเพลงของเขา
ชายที่สามารถยกระดับการเล่นดนตรีร็อคให้ขึ้นไปอีกระดับ วิธีการเล่นกีตาร์ของเขาเป็นวิธีการเล่นที่ไม่มีนักดนตรีคนไหนเคยทำมาก่อน ผลงานของเขาและการแสดงสดได้เป็นแรงบันดาลใจให้กับนักดนตรีรุ่นน้องที่นำเขาเป็นแบบอย่างในการเล่นดนตรี
นอกจากสิ่งที่ Eric Clapton พูดกับ Chandler แล้ว Stevie Ray Vaughan ศิลปินบลูส์ทรงอิทธิพลระดับต้นๆ ของโลกและเป็นต้นแบบให้กับนักดนตรีรุ่นน้องอย่าง John Mayer เคยกล่าวไว้ในบทสัมภาษณ์ของตัวเองเมื่อปี คศ.1984 กับนิตยสาร Guitar World ไว้ว่า “ผมรักเขามาก เขาเป็นมากกว่านักกีตาร์บลูส์ เขาสามารถทำอะไรก็ได้ ฉันสามารถทำบางสิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้ และฉันกำลังเรียนรู้มันจริงๆ ไม่ใช่ทั้งหมดที่ฉันทำได้ แต่ฉันจะพยายาม”
ในวันนี้ ซึ่งเป็นวันครบรอบการเสียชีวิตของเขา จึงเป็นโอกาสที่เราอยากหยิบเรื่องต่างๆออกมาเล่าว่า เพียงแค่ 4 ปีที่อยู่ในตลาดของ Mainstream แต่ทำทำไมคนทั้งโลกถึงยกย่องชายคนนี้
Woodstock 1969
ในช่วงเวลาที่สงครามเย็นกำลังคุกกรุ่น กระแสการต่อต้านสงครามเวียดนามกำลังร้อนระอุ ตามมาด้วยการประท้วงต่อต้านจนเกิดวัฒนธรรมของวัยรุ่นที่เรียกกันว่า “ฮิปปี้” หรือ “บุปผาชน” ได้มีการจัดเทศกาลดนตรีที่มีคำโปรยว่า “An Aquarian Exposition: 3 Days of Peace & Music” อย่าง Woodstock 1969
เหตุการณ์นี้เป็นหมุดหมายที่สำคัญในวงการดนตรี โดยมีเหตุการณ์มากมายที่เป็นตำนานเกิดขึ้น (ถึงขั้นที่ถูกนำมาเป็นสารคดีที่ชื่อ Woodstock 99 สามารถรับชมได้ที่ HBO Max) และที่สำคัญคือการรวมตัวของนักดนตรีระดับตำนานไว้ในงานเดียวกัน และหนึ่งในดาวเด่นของงานนั้นก็คือ Jimi Hendrix
ด้วยกำหนดการที่ล่าช้า ทำให้ตามกำหนดเดิมที่ Jimi จะได้เล่นดนตรีตอนเที่ยงคืน ต้องเลื่อนไปเป็นช่วงเวลา 9.00 น.ของวันจันทร์ ที่ผู้คนทยอยกลับบ้านกัน เนื่องจากต้องไปเรียนและไปทำงานตามหน้าที่ที่ตนต้องรับผิดชอบ ผู้คนจากที่ประมาณการไว้ที่ 500,000 คนเหลือเพียงประมาณ 40,000 คนที่ตั้งหน้าตั้งตารอคอยการแสดงของเขา และมันก็คุ้มค่ากับการเฝ้ารอเมื่อ Jimi ได้ทำการแสดงที่ต่อมาจะเป็นที่พูดถึงกันจนถึงทุกวันนี้ โดยใช้เวลาในการแสดงเกือบ 2 ชั่วโมง
และหนึ่งในสิ่งที่ทำการแสดงครั้งนี้เป็นที่พูดถึงไปอีกนาน คือ การนำเพลงชาติอเมริกา อย่าง “ The Star-Spangled Banner ” ออกมาเรียบเรียงใหม่ ให้มีความเกรี้ยวกราดและดุดันเปรียบเหมือนเสียงจรวดและระเบิดจากสงครามเวียดนามที่กำลังคุกกรุ่นอยู่ ณ ขณะนั้น ราวกับว่าตัวเขาเองใช้บทเพลงนี้แทนการกล่าวเพื่อต่อต้านสงครามที่กำลังเกิดขึ้น โดยในเวลาต่อมาบรรณาธิการของนิตยสาร Guitar World บอกว่า นี่เป็นการแสดง “ The Star-Spangled Banner ” ที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล
เปลี่ยนโฉมหน้าดนตรีร็อค
“Jimi ระเบิดความคิดของเราที่ว่าดนตรีร็อคควรจะเป็นยังไง เขาควบคุมกีตาร์ เขาควบคุมคันโยก เขาควบคุมสตูดิโอ และเขาควบคุมเวทีไว้หมดเลย” Tom Morello มือกีตาร์ผู้ชนะรางวัลแกรมมี่ ได้เคยกล่าวไว้โดยยังได้กล่างถึงเพลงหลักของ Jimi อีกสองเพลงอย่าง “Purple Haze” and “The Star-Spangled Banner”
ดนตรีร็อคในยุคนั้น ยังมีภาพจำที่มีนักดนตรีกับนักร้องแยกกันทำหน้าที่ของตน แต่ Jimi เปลี่ยนภาพนั้นด้วยการเป็นมือกีตาร์แต่ในขณะเดียวกันก็รับบทร้องนำไปด้วย ซึ่งเป็นการเปลี่ยนภาพการเล่นดนตรีในยุคนั้น และเมื่อนักดนตรีคนอื่นได้เห็นในสิ่งที่เขาทำก็ทำตาม จนภาพของดนตรีร็อคในยุคนั้นเปลี่ยนไป
ยังไม่รวมถึงวิธีการเล่นที่เหมือนใครในยุคนั้นก็คือวิธีการที่เขาเล่นกีตาร์ซึ่งเขาที่ถนัดในการเล่นข้างซ้าย แต่กีตาร์ตัวที่เขาเล่นนั้นเป็นกีตาร์ที่ถนัดขวา ซึ่งสายกีตาร์มันกลับหัวกลับหางกัน แต่ตัวเขาพบวิธีที่จะเล่นมันออกไปได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ภาพจำในการเล่นกีตาร์ของเขาที่เป็นภาพจำ คือการเล่นกีตาร์กลับหลัง และการเล่นกีตาร์โดยใช้ฟันในการเล่น ซึ่งก็เป็นวิธีการเล่นทีพิเศษมากในช่วงเวลานั้น
มือกีตาร์ที่ดีที่สุดตลอดกาล
คำนี้ถูกยกย่องโดย Rolling Stone นิตยสารดนตรีระดับโลก โดยการคัดเลือกนี้มาจากคณะกรรมการผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ มือกีตาร์ที่มีชื่อเสียง นักเขียนอาวุโสรวมถึงบรรณาธิการของ Rolling Stone เองได้ร่วมกับลงคะแนนให้กับนักกีตาร์ที่เขาชอบโดยในรายชิ่อนี้มีศิลปินระดับตำนานมากมายถูกจัดอันดับไว้ ไม่ว่าจะเป็น Eric Clapton (อันดับ 2),Jimmy Page (อันดับ 3) , B.B. King (อันดับ 6), Eddie Van Halen (อันดับ 8)
และอันดับหนึ่งในลิสต์ทั้งหมดนั้นก็คือ “Jimi Hendrix”
นอกจากสี่เรื่องที่เล่าไปแล้ว ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ควรค่าแก่การนำมาพูดถึงซึ่งมีเขียนถึงมากมายอยู่ในโลกออนไลน์ รวมถึงบทความที่ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อรำลึกถึงเขาที่ถูกเขียนขึ้นในทุกวันครบรอบวันเสียชีวิตของเขา และดูเหมือนว่าเรื่องราวของเขาจะถูกพูดถึงไปอีกนาน
ครั้งหนึ่ง Jimi เคยพูดไว้ว่า “I’m the one that’s got to die when it’s time for me to die, so let me live my life the way I want to”
ฉันเป็นคนหนึ่งที่ต้องตายเมื่อถึงเวลาที่ต้องตาย ดังนั้นแล้วฉันก็ขอใช้ชีวิตในแบบที่ฉันต้องการ
แต่เราเชื่อว่า Jimi Hendrix จะยังคงมีชีวิตอยู่ อย่างน้อยก็ในความทรงจำของผู้คนที่รักรวมถึงมีเขาเป็นแบบอย่าง และจะเป็นแบบนั้นตลอดไป