Resources are limited, Creativity is unlimited.
เป็นประโยคที่ชายคนหนึ่งพบเห็นในขณะที่กำลังเดินทางกลับหลังจากการแข่งขัน AFC Champions League ที่สนามโปฮัง สตีลเลอร์ ประเทศญี่ปุ่น กลายคำที่ยึดถือในการทำงานเพื่อสร้างเมืองที่เคยเป็นทางผ่านของนักท่องเที่ยว ให้กลายเป็นเมืองกีฬาระดับโลกกับทีมฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ ครองแชมป์ไทยลีกมากที่สุด และสนามแข่งรถที่ได้รับมาตรฐานสูงสุดแห่งเดียวในเมืองไทย ทั้งหมดเกิดขึ้นด้วยฝีมือของผู้ชายที่ชื่อเนวิน ชิดชอบ ที่พลิกฟื้นและทำให้ ‘บุรีรัมย์’ เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น
แต่กว่าจะเป็น “ลุงเนวิน” ตามที่ชาวบุรีรัมย์เรียกกัน ต้องฝ่ามรสุมทั้งการเมืองและการใช้ชีวิตอย่างเข้มข้น ไม่แพ้เกมกีฬาที่ปัจจุบันเขาหลงไหลและทุ่มสุดตัว
ใต้ร่มเงาผู้เป็นกำนันสู่จุดสูงสุดในการเมืองไทย
4 ตุลาคม 2501 เป็นวันที่ตระกูลชิดชอบ ได้ให้กำเนิดลูกชายคนแรกที่จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งชื่อ “เนวิน” มีที่มาจากชื่อของนายพลเนวี่น ผู้นำทหารพม่า ซึ่ง ณ เวลานั้นเป็นนายกรัฐมนตรีเฉพาะกาลเมื่อปลายปี 2501 ซึ่งกำนันชัย บิดาของเนวินประทับใจเป็นอย่างมาก ก่อนที่จะย้ายถิ่นฐานมาอยู่จังหวัดบุรีรัมย์ ในปี 2505 คุณชัย ชิดชอบได้รับเลือกตั้งเป็นกำนัน ตำบลอีสาณ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ และได้ทำธุรกิจเปิดโรงโม่หินศิลาชัย ด้านการศึกษา เนวินจบชั้น ป. 7 โรงเรียนบุรีรัมย์พิทยาคม ก่อนที่จะเดินทางไปเรียน ม.ศ.1-5 ที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ต่อมาได้ศึกษาจนสำเร็จการศึกษาระดับอนุปริญญา สาขาวิชาพัฒนาชุมชนภาคพิเศษ สถาบันราชภัฎบุรีรัมย์
เมื่อปี 2530 และ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี หลักสูตรส้งเสริมการเกษตรและสหกรณ์บัณฑิต มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช และได้รับมอบปริญญากิตติมศักดิ์ด้านบริหารรัฐกิจจากมหาวิทยาลัยแปซิฟิกเวสเทิร์น รัฐฮาวาย ในช่วงชีวิตวัยรุ่นของเนวิน มีรูปแบบตามประสาผู้ชายมีความคะนองโลดโผน ทำให้กำนันชัยเรียกตัวกลับมาอยู่บุรีรัมย์ เพื่อมาดูแลธุรกิจของกำนัน จากนั้นนำเนวินไปฝากอยู่บ้านนายตำรวจใหญ่ให้ช่วยดูแล ซึ่งทำให้เนวินได้คลุกคลีการทำงานกับตำรวจแบบทุกกระบวนงาน
เส้นทางการเมืองที่เริ่มต้นแบบไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
เนวิน ชิดชอบ เริ่มต้นเส้นทางการเมืองตั้งแต่ ลงสมัครเป็น ส.จ. บุรีรัมย์ ปี 2528 และได้รับชัยชนะจากนั้นขยับขึ้นมาเป็นประธานสภา ส.จ.บุรีรัมย์ ในวัย 27 ปี ซึ่งถือว่าอายุน้อยที่สุดในประเทศไทย จากนั้นเนวินได้ลงสมัคร ส.ส. พรรคสหประธิปไตย ร่วมกับบิดา และได้เป็น ส.ส. เขต 1 บุรีรัมย์ ปี 2531 กระทั่งเดือนมีนาคมปี 2535 ได้ย้ายสังกัดมาอยู่พรรคสามัคคีธรรม ซึ่งเนวินสอบผ่านเขต 1 กระทั่งเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ทำให้มีการเลือกตั้งทั่วไปอีกครั้ง เมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2535 ครั้งนี้ตระกูลชิดชอบได้ย้ายมาอยู่พรรคชาติไทย และคว้าชัยชนะทั้งพ่อและลูก
จากนั้นในปี 2536 ส.ส.อีสานกลุ่มหนึ่งได้ก่อตั้ง “กลุ่ม ส.ส.อีสานเพื่อการพัฒนา” ซึ่ง 1 ใน 8 นั้น มีเนวินเป็นผู้ก่อตั้ง แต่ไม่นาน เนวิน ปลีกตัวออกจากผู้แทน เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่เส้นทางการเมืองที่สูงขึ้น กระทั่งในปี 2538 เนวินเจอแรงเสียดทานทางการเมืองครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักวิชาการ คนชนชั้นกลาง จนมีฉายาที่คอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์แห่งหนึ่งตั้งไว้ว่า “ชื่อพม่า หน้าลาว เว้าเขมร” แต่เนวินไม่สนใจคำวิจารณ์และกระแสข่าวที่เกิดขึ้น จึงลงพื้นที่หาเสียงพร้อมกับภรรยา 700 หมู่บ้าน 5 ตำบล ในพื้นที่ 5 อำเภอของเขตเลือกตั้งที่ 1 ผลออกมาชาวบุรีรัมย์ลงคะแนนเสียงให้เนวินเป็นอันดับ 1 ถือเป็นชัยชนะที่กลบเสียงวิจารณ์ได้ในระดับหนึ่ง แต่นั้นทำให้เขาและตระกูลชิดชอบได้กลับเข้ามาอยู่พรรคชาติไทย ที่นำโดย บรรหาร ศิลปอาชา กุมบังเหียนอยู่เพื่อชิงเลือกตั้ง 2544 ทั้งนี้เนวินได้ทำงานระดับกระทรวงเริ่มตั้งแต่การเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง จากนั้น มาดำรงตำแหน่งเป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
จุดเปลี่ยนสำคัญของเนวิน คือการได้เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในสมัยที่ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ถือว่าเป็นคนใกล้ชิดเลยก็ว่าได้ และมีบทบาทสำคัญในเกมการเมืองไทยกระทั่ง 19 กันยายน 2549 ได้เกิดการรัฐประหาร เนวิน เป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกควบคุมตัว ก่อนที่ในปีถัดมา เนวินได้ขึ้นเวทีหาเสียงกับพรรคพลังประชาชน ก่อนที่ศาลจะตัดสินให้ยุบพรรคไทยรักไทยพร้อมถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี ทำให้เนวินไม่สามารถลงสนามการเมืองได้ ถึงกระนั้นได้เป็นก่อตั้งกลุ่มเพื่อนเนวิน ซึ่งมี ส.ส. อยู่ในกลุ่มประมาณ 30 คน อีกทั้งมีบทบาทอย่างสูงในการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นแกนนำคนสำคัญของพรรคภูมิใจไทย กระทั่งเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองของกลุ่ม นปช. เมื่อเดือนเมษายน 2552 ทำให้มีความขัดแย้งของทักษิณกับเนวินรุนแรง จนเกิดประโยคทองอย่าง “มันจบแล้วครับนาย” เป็นอันสิ้นสุดความสัมพันธ์อย่างเด็ดขาด
วางมือการเมือง ทุ่มเทกับฟุตบอลและวงการกีฬาสุดตัว
เมื่อชีวิตการเมืองถึงจุดอิ่มตัว เนวินจึงตัดสินใจหันเหเข้าสู่เส้นทางกีฬา และฟุตบอลคือกีฬาที่หลงรักและชื่นชอบมาตั้งแต่วัยเยาว์ ในช่วงปี 2552 เนวินต้องซื้อหุ้นทีมฟุตบอลในไทยพรีเมียร์ลีก (ปัจจุบันคือ ไทยลีก) ให้ไปเล่นที่บ้านเกิดอย่าง บุรีรัมย์ เริ่มแรกได้เจรจากับสโมสรตำรวจ แต่ถูกปฎิเสธ และได้เดินสายพูดกับทีมฟุตบอลแบบเบื้องต้น ก่อนที่จะจบลงที่สโมสรการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อบรรลุข้อตกลงจึงการย้านถิ่นฐานพร้อมเปลี่ยนชื่อเป็น “บุรีรัมย์-พีอีเอ” และปรับโครงสร้างบริหารและทีมผู้ฝึกสอนบางส่วน กระทั่งปี 2555 เนวินได้ซื้อหุ้นเพิ่มอีก 30% ของสโมสรการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มาบริหารเองทั้งหมดและนั่งแท่นเป็นประธานสโมสร อีกทั้งควบรวมทีมฟุตบอล “บุรีรัมย์ เอฟซี” รวม “สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” เพื่อให้การบริหารงานเกิดความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น กระทั่งวันที่ 4 ตุลาคม 2555 เนวินได้ประกาศวางมือทางการเมือง พร้อมทุ่มเททั้งชีวิตให้กับการสร้างสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และยกระดับวงการกีฬาอย่างเต็มร้อย
จากชายชุดสูทหน้าเคร่งเครียดผู้ที่มีบทบาททางการเมือง ได้สลัดเป็นชายสวมเสื้อบอลกางเกงขาสั้น รองเท้าผ้าใบ พร้อมใบหน้าที่ยิ้มแจ่มใสมากขึ้น ใกล้ชิดแฟนบอลจนกลายเป็นคำติดปากว่า “ลุงเนวิน” มาพร้อมแนวคิดที่มุ่งมั่นในการพัฒนาให้สโมสรบุรีรัมย์ยูไนเต็ดเป็นทีมฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในไทยและเอเชีย ซึ่งพิสูจน์ได้ผ่านแชมป์รายการต่าง ๆ ทั้งไทยลีก 7 สมัย, เอฟเอ คัพ 4 สมัย, ลีกคัพ 5 สมัย, ถ้วยพระราชทาน ก 4 สมัย และ ไทยแลนด์แชมป์เปียนส์คัพ 1 สมัย อีกทั้งยังได้สร้างอาณาประสาทสายฟ้าทั้ง “ช้าง อารีนา” สนามฟุตบอลที่ครองสถิติสร้างเร็วที่สุดในโลก 256 วัน และผ่านมาตรฐานระดับโลกจากฟีฟ่า และ สนามแข่งรถอย่าง “ช้าง อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต” ซึ่งเป็นสนามแข่งรถที่ได้รับมาตรฐานสูงสุด รองรับการแข่งขันระดับโลกอย่าง “โมโตจีพี ฟอร์มูล่าวัน ” โดยประเทศไทยเป็น 1 ใน 21 สนามที่ได้รับเลือกให้จัดการแข่งขัน “โมโตจีพี” ซึ่งในช่วง 2 ปีที่จัดงาน (2018-2019) ได้สร้างเม็ดเงินทางเศรษฐกิจให้กับบุรีรัมย์และจังหวัดรอบข้างเป็นอย่างมาก และเป็นจุดหมายสำคัญของวงการมอเตอร์สปอร์ตระดับโลกอีกด้วย
ตลอด 66 ปีของผู้ชายที่ชื่อ “เนวิน ชิดชอบ” คงปฎิเสธไม่ได้ว่าเป็นผู้ที่มีความมุ่งมั่น ทั้งสนามการเมืองและการกีฬา โดยเฉพาะอย่างหลังที่เขาทุ่มทั้งชีวิตเพื่อให้บุรีรัมย์เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางมากขึ้น จากที่เคยเป็นทางผ่านของใครหลายคน วันนี้ “บุรีรัมย์” เปลี่ยนไป กลายเป็นหมุดหมายสำคัญของวงการกีฬาทั้งระดับประเทศและระดับโลก พร้อมความคิดสร้างสรรค์งานต่าง ๆ เพื่อให้นักท่องเที่ยวเกิดความประทับใจและอยากมาเยือนบุรีรัมย์อีกครั้ง