เมื่อบ่ายวันนี้ (26 เมษายน 2568) สำนักข่าว SPOTLIGHT ภายใต้อมรินทร์ทีวี ได้จัดงานเสวนา SPOTLIGHT FORUM “SME Navigator 2025 ชี้ทางรอด นำทางรุ่งธุรกิจไทย” โดยได้รับเกียรติจาก ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้ขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “SME ไทยฝ่าวิกฤต สู่อนาคตที่มั่นคง” ณ C ASEAN ชั้น 10 อาคาร CW Tower
ดร.เผ่าภูมิ กล่าวในงานเสวนาว่า วิธีการมองของภาพ SME เราคงมองตนเองว่าจะขายในประเทศอย่างเดียวคงเป็นไปไม่ได้ และเราคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่ามาตรการทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ทำให้เราได้รับผลกระทบอย่างมาก รวมไปถึงความไม่แน่นอน ทำให้เกิดการชะลอในการลงทุน ทั้งนักลงทุนชาวต่างชาติและนักลงทุนในประเทศ ยิ่งฝุ่นตลบนานเท่าไหร่จะยิ่งส่งผลทำให้เกิดการชะลอตัวมากยิ่งขึ้น และยังส่งผลไปถึงการลดกำลังซื้อของผู้บริโภคอีกด้วยที่ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรง
ดังนั้นรัฐบาลในฐานะกลไกสำคัญ เราตระหนักถึงผลกระทบเหล่านี้ และอยู่ระหว่างการหามาตรการเพื่อทำให้ผลกระทบต่างๆ เหล่านี้น้อยลง โดยผมเพิ่งมีโอกาสไปประชุม IMF และ World Bank ซึ่งข้อสรุปในภาพกว้างคือการที่อาเซียนต้องร่วมมือกันภายใต้ 4 กรอบ โดยส่งเสริมให้มีการค้าและการขายในภูมิภาคนี้ รวมถึงการกระจายความเสี่ยงในการส่งออก และการเชื่อมโยงตลาดทุน สุดท้ายคือการเพิ่มกำลังซื้อในประเทศให้แข็งแกร่งด้วยตนเองได้ นั่นคือข้อสรุปจากการประชุมในครั้งนี้
ในส่วนของภาพประเทศไทย ปัจจัยความเข้มแข็งและวิธีการมองของเรา เราต้องไปมองในภาคการคลัง ซึ่งหนี้สาธารณะถ้าให้มองแบบไม่อคติ ไม่ได้น่ากังวลเท่าหนี้ภาคครัวเรือนซึ่งจะส่งผลกระทบมากกว่า เรามีหนี้สาธารณะอยู่ร้อยละ 64 ซึ่งไม่ได้น่ากังวลใจมากเท่าไหร่ แต่อย่างไรก็ตาม การกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาคทางการคลังมีความสำคัญมากๆ ซึ่งนอกจากการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการบริโภคในประเทศแล้ว การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่รัฐบาลก็ไม่ได้ลงทุนมายาวนานแล้ว การลงทุนเหล่านี้จะส่งผลกระทบทำให้ SME และผู้ประกอบการได้รับผลบวกในการที่รัฐบาลลงทุนอีกด้วย
ภาคการเงินเราก็ให้ความสำคัญสูงสุดกับการให้สภาพคล่องกับผู้ประกอบการ SME เพื่อทำให้พวกเขาสามารถประกอบอาชีพได้ สภาพคล่องต้องไม่ขาด แต่ปัจจุบันผู้ประกอบการก็เข้าไม่ถึงแหล่งทุน ทำให้พวกเขาต้องล้มหายตายจากลงไป ฉะนั้นจึงเป็นหน้าที่ของธนาคารรัฐเฉพาะกิจที่จะต้องมาสนับสนุนผู้ประกอบการ เช่น SME Bank, ธนาคารออมสิน หรือ EXIM Bank เป็นต้น รวมไปถึงการมีผู้รับรองการค้ำประกันอย่าง บสย ที่จะต้องเข้ามาสนับสนุนผู้ประกอบการอีกด้วย
รวมถึงในไตรมาสที่ 2-3 เราก็จะสนับสนุนผ่านการทำ Soft Loan ต่างๆ และการอัดฉีดเม็ดเงิน เนื่องจากเป็นช่วง Low-Season และกำลังซื้อจะลดลง รวมไปถึงรัฐบาลก็หามาตรการในการสนับสนุนในอุตสาหกรรมรถยนต์และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ส่งผลกระทบมากด้วยเช่นกัน โดยรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยก็จะพยายามสนับสนุนให้ธุรกิจไปต่อได้
อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือการลดเกณฑ์สินเชื่อเพื่อกระจายให้พี่น้องประชาชนมากขึ้น คือถ้ากฎเข้มไปก็จะทำให้ประชาชนเข้าไม่ถึง ฉะนั้น กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยจึงมีการปรึกษาหารือกันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อทำให้สินเชื่อถูกปล่อยเข้าสู่ประชาชนมากขึ้นต่อไป รวมถึงการเพิ่มสินเชื่อและสนับสนุนเพื่อให้ผู้ประกอบการที่สนใจลงทุนในสหรัฐฯ เข้าไปทำ Showcase และลงทุนให้ได้มากขึ้นอีกด้วย ซึ่งผมเชื่อว่าจะทำให้เราผ่านพ้นวิกฤตทางเศรษฐกิจและปัจจัยแวดล้อมนี้ไปด้วยกันได้ด้วยมาตรการเหล่านี้นั่นเอง