TELEx TELEXs (เทเลกซ์ เทเลกส์) วงดนตรีที่ถ้าหากคุณเปิดพจนานุกรมดูความหมายก็คงแปลว่า เครื่องโทรเลข ซึ่งที่มาของชื่อก็มีแค่นี้จริงๆ จากปากของปิ้ว-กษิเดช ฤทธิ์งาม คีย์แมนคนสำคัญของวง ที่ขี้เล่น และมีมุกตลกคอยเสิร์ฟให้เราฟังตลอดบทสัมภาษณ์นี้
ปิ้วบอกเราว่าชื่อนี้มันเท่ดี ก็เลยตั้ง ง่ายๆ แค่นั้นเลย
เรายังได้คุยกับออม-สรรัตน์ ลิมปะนพรัตน์ หนึ่งในสมาชิกผู้เป็นเสียงร้องให้กับวง คอยสร้างบรรยากาศดีๆ ในทุกคำที่พูดออกมา และนาว-คิรากร อิงควราภรณ์กุล มือกีต้าร์ประจำวง แม้ว่าเขาจะพูดน้อย แต่กินใจเราทุกคำ
TELEx TELEXs ได้ออกอัลบั้มเต็มมาแล้วสองอัลบั้ม ทำผลงานเพลงในฐานะศิลปินมา 6 ปี วันนี้เราจะได้เรียนรู้เรื่องราวของพวกเขาเพิ่มขึ้น
หมายเหตุ : ปิ้ว-กษิเดช ฤทธิ์งาม ตัดสินใจขอยุติบทบาทการทำงานกับวง TELEx TELEXs ในฐานะหนึ่งในสมาชิก และร่วมงานแสดงจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567
ตัวตนของ TELEx TELEXs
จุดเริ่มต้นของ TELEx TELEXs มีสมาชิก 4 คนก็คือ นาว ออม ปิ้ว และกร-พากร พานอ่อง เริ่มต้นจากกรกับปิ้วเป็นเพื่อนกันที่เชียงใหม่ ทำโปรเจคหนึ่งขึ้นมา ปล่อยเพลงชื่อ Bad Old Days และ Labelle ทั้งสอง อยากได้ผู้หญิงมาร้องในเพลง ด้วยความที่กรรู้จักออมและนาว จึงเกิดเป็น TELEx TELEXs 4 คนในช่วงเริ่มต้น แต่ปัจจุบัน กร ได้ออกจากวง และเดินตามเส้นทางของตนเองไป ทำให้เหลือเพียงแค่นาว ออมและปิ้ว
ในวันนี้ แม้จะเหลือสมาชิกในวงเพียง 3 คน แต่ก็ไม่ทำให้ตัวตนของพวกเขาหายไป
ออม: “TELEx TELEXs ถือเป็นเพื่อนคนนึงของคนฟังค่ะ สถานการณ์ต่างๆ ที่เราพูดถึงในเพลง อยากให้คนฟังรู้สึกว่าไม่ใช่เขาคนเดียวที่เผชิญสิ่งนี้ มีพวกเรานั่นแหละเป็นเพื่อน เป็นคนที่ผ่านประสบการณ์เหมือนๆ กัน อย่างน้อยๆ ถึงแม้ว่าเพลงเราจะพูดถึงความเหงา แต่ว่าเขาก็ไม่ได้เหงาคนเดียว”
เราได้ถามย้ำถึงที่มาชื่อวง TELEx TELEXs อีกครั้ง ว่าตอนแรก พวกเขาได้ตั้งชื่อวงเท่ๆ แบบนี้ เพื่อเป็นตัวกำหนดแนวเพลงจากอดีตถึงปัจจุบันหรือไม่
คำตอบที่ได้คือ ไม่
ปิ้ว: “มันคือความมั่วซั่วที่เราก็ไม่รู้เหมือนกัน ทุกคนอาจรู้สึกว่ามันลงตัว แต่อย่างสัญลักษณ์วง ก็ได้มาจากความที่ผมเรียนวิศวะ มันเห็นพวกคลื่นไซน์ ก็หยิบเอามาทำ แล้วทุกคนก็ชอบ มันเกิดจากอะไรที่มันมั่วซั่ว อยู่ดีๆ ก็ลงตัว”
จากความมั่วซั่ว สู่ส่วนผสมที่ลงตัวจนกลายมาเป็น TELEx TELEXs ในทุกวันนี้
ออม: “เรามองว่าวงทุกวง ดนตรีทุกประเภท มันคือการผสมกันของหลายๆ เพลง มันอาจจะไม่ได้ใช้คำว่ามั่วซั่วขนาดนั้น แต่ว่ามันผ่านความชอบของเราทุกคนออกมาแบบนี้มากกว่า หรือว่าแม้แต่กระทั่งพวกเราเอง ความมั่วก็คือร้อยพ่อพันแม่อ่ะค่ะ เรามาเจอกันได้ มาเป็นวงกันได้ มาทำงานร่วมกันได้ มันก็อาจจะจับฉ่ายมารวมกันมากกว่า”
ปิ้ว: “แต่อร่อยครับ สุดท้ายแล้ว”
การทำงานแบบ TELEx TELEXs
กระบวนการทำเพลงแต่ละเพลง เริ่มจากปิ้ว คีย์แมนคนสำคัญของวงถึงที่จะขึ้นเพลงมาก่อนถึง 80 เปอร์เซ็นต์ จากนั้นจะคุยกับออม และนาว ในการทำให้เพลงทุกเพลงของพวกเขาลงตัวที่สุด
ออม: “ปิ้วก็ไปคิดกีตาร์ หรือว่าพวกเนื้อเพลง เมโลดี้ เราอาจจะลองร้องไป บางทีปิ้วร้องไกด์มา เข้าปากปิ้ว ไม่เข้าปากเราก็มี เปลี่ยนคำบ้าง แต่ว่าโครงเพลงทั้งหมด เนื้อเพลงทั้งหมด คนเริ่มต้นคือปิ้วค่ะ เวลาปิ้วเขียนเพลงมา เราก็จะฟังในฐานะคนฟังด้วย”
ปิ้ว: “จริงๆ มันก็ต้องวางโครงภาพเราไว้ เราจะตีความแบบภาพ จะใช้โทนสีดำแบบไหน มันคือการวาดภาพ เราอยากจะได้โทนที่มันสว่าง โทนภาพที่ดูเศร้า ก็ต้องตีกรอบมัน แล้วเอาองค์ประกอบเพลงของเราไปจัดวางให้มันเข้ารูปภาพนั้น ความรู้สึกของผม การทำเพลง ก็คือส่วนประกอบหนึ่งของรูปภาพ สมมติว่าในรูปภาพนั้น มันมี ต้นไม้เขียวหมดเลย เราเอารถสีม่วงไปวาง มันก็จะงง มันต้องหาจุดที่มันพอดี”
ปกติในการทำเพลงของศิลปินส่วนใหญ่ มักเอามาจากเหตุการณ์ในชีวิตจริงของตนเอง หรือของคนในวง เหมือนเป็นไดอารี่ประจำตัวของวง แต่ไม่ใช่กับพวกเขา นั่นทำให้เราเซอร์ไพรส์มาก
“เพลงต่างๆ ของ TELEx TELEXs เอามาจากชีวิตของใครมั้ย” เราถามพวกเขาอย่างตรงไปตรงมา
ปิ้ว: “มาจากในจินตนาการครับผม” ปิ้วตอบเรา
ออม: “มันคือการหลอมรวมกันของการผ่านประสบการณ์ ที่ไม่ใช่ทั้งของเรา หรือของปิ้ว หรือของใคร มันคือคนรอบข้าง หรือมันอาจจะเป็นเหตุการณ์หนึ่งที่เราจินตนาการขึ้นมาก็ได้ ว่าถ้าคนๆ หนึ่งเผชิญเหตุการณ์ เราจะเล่าเรื่องนี้ออกมายังไงมากกว่า เพราะเรารู้สึกว่า คนเรามันคงไม่ได้จินตนาการว่าแบบ เฮ้ย วันนี้เราตื่นมาเราเห็นยูเอฟโอ มันก็เกินไปถูกมั้ยคะ เรื่องอารมณ์มันเป็นเรื่องที่สามารถคิดขึ้นมาได้”
เราได้สังเกตว่าป้อง-ปกป้อง จิตดี (plastic plastic, gym and swim) เป็นโปรดิวเซอร์คู่ใจตั้งแต่อัลบั้มแรกจนถึงเพลงล่าสุด เราจึงได้ถามพวกเขา ถึงการทำงานกับคุณปกป้อง
นาว: “ตั้งแต่เพลงแรกที่ทำกับเขา ก็รู้สึกว่าเขาช่วยอะไรได้เยอะเลยครับ ช่วยเกลี่ยให้เป็น TELEx TELEXs ครับ ไม่เยอะเกิน ไม่น้อยเกิน ก็เลยถูกใจกันมาโดยตลอด (หัวเราะ)”
ออม: “ทำให้ทุกเพลงเป็น TELEx TELEXs ป้อง จริงๆ ก็เป็นส่วนหนึ่งของแหละ ที่ผ่านมา น่ารักอ่ะ”
จุดประสบความสำเร็จ
ย้อนถึงช่วง เทเลกซ์ เทเลกซ์ คอนเสิร์ต โบกไก่ คอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกในชีวิตของพวกเขา ที่มีคอนเซ็ปต์แหวกแนว บ้าบิ่น และเป็นกันเองมากๆ อย่างการโบกไก่ ที่แม้จะเป็นไก่ปลอมที่เป็นพัด ระหว่างที่อยู่ในคอนเสิร์ต พวกเขาได้บอกกับเราว่า มันมีความหมายสำหรับพวกเขามาก หลังจากที่ปล่อยอัลบั้มแรก Enough For Loneliness And Internet Today และจัดคอนเสิร์ตนี้ขึ้น
ปิ้ว: “คอนเสิร์ตนี้มันเหมือนปาร์ตี้คนที่เรารู้จักด้วย หรือว่าแฟนเพลงยุคแรกๆ ของเรา ได้มาดูพวกเราเติบโตจนพวกเรามีอัลบั้มแล้ว ซึ่งไอโพสต์การโบกไก่ มันก็คือการโพสต์ขำๆ ใน Facebook มันก็ตลกดี ซึ่งมันเกิดขึ้นจริง มันยิ่งเซอร์ไพรส์ไปกันใหญ่ สรุปแล้วมันก็แฮปปี้ที่เราได้ร้องเพลงในอัลบั้มแรกให้ทุกคนฟังเป็นที่แรก มีคนมาดูจำนวนนึง ซึ่งเป็นแฟนคลับที่รักพวกเราจริงๆ แล้วก็เอาไก่ขึ้นมาโบกจริงๆ ถึงจะไม่ใช่ไก่ทอดจริงๆ เป็นพัดรูปขาไก่ แต่ก็แจกไก่ให้ทุกคนกินจริงๆ ด้วย”
ออม: “เรายังรู้สึกว่าคอนเซ็ปต์มันแข็งแรงมากจนเราเซอร์ไพรส์มากเหมือนกัน ทุกวันนี้สื่อเอง หรือแม้แต่กระทั่งแฟนคลับเอง ก็ยังถามมาตลอดว่าจะมีโบกไก่ พาร์ทสองมั้ย มันทำให้เรารู้สึกว่ามันแข็งแรง แล้วคนก็ซื้อความบ้าบิ่นของเราตรงนี้มากๆ เหมือนกัน
ไม่เคยมีเพลงไหนรู้สึกเสียใจที่ทำออกมา
ทุกเพลงของพวกเขา ไม่มีแม้แต่เพลงเดียวที่พวกเขาอยากกลับไปแก้ไข หรืออยากทำให้มันดีขึ้น เพราะพวกเขาเชื่อว่า ทุกเพลงที่ออกมาเป็น TELEx TELEXs นั้น พวกเขาทั้งรัก ภูมิใจ และเต็มที่กับทุกผลงานที่ทำ
ออม: “แต่ละเพลงมันมีองค์ประกอบต่างกัน ซึ่งวิธีการตีความของแต่เพลง ถึงแม้ว่าเนื้อหาบางเพลงมันมีความใกล้กัน ความเหงานู่นนี่นั่น แต่ว่าวิธีการร้อง เมโลดี้ ฯลฯ มันไม่เหมือนกัน เราก็ต้องตีความใหม่ทุกครั้ง ตั้งใจทำใหม่ทุกครั้ง ทำให้รู้สึกว่าทุกเพลงมันเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์สำหรับเรา ตั้งแต่ทำเพลง ทำวงมาค่ะ ไม่เคยมีเพลงไหนที่รู้สึกว่าแบบ เฮ้ย เสียใจว่ะ ที่ทำเพลงนี้ออกมา ไม่มีเลยนะคะ รู้สึกว่าเต็มที่กับทุกเพลงจริงๆ ถึงแม้ว่าทุกคนจะเห็นว่าเราทำเพลงออกมาเยอะมาก มีเพลงไหนรีบทำหรืออะไรแบบนี้รึเปล่า ต่อให้มันเป็นเพลงที่มันรีบ มันก็ผ่านการกลั่นกรองของพวกเรามาอย่างมากอยู่ดีใจ”
ปิ้ว: “ก่อนที่เพลงเราจะถูกปล่อยให้ทุกคนได้ฟัง มันถูกการกลั่นกรองมา ฟังทุกวันว่า เออ เพลงเราดีจริงๆ แล้วใช่มั้ย เลยเลือกไม่ได้จริงๆ ว่าเพลงที่เราชอบที่สุดคืออะไร มันคือทุกเพลงจริงๆ ที่เราตั้งใจทำ อาหารที่เราทำสุดฝีมือแล้ว เราจะไปเสิร์ฟให้กรรมการชิม”
คุณรักฉันไหม
เราได้ถามพวกเขาถึงที่มาการตั้งชื่อเพลงเป็นภาษาอิตาลี
ปิ้ว: “เพลงมันไม่ได้มีประโยคนี้ก็จริง แต่ว่าความหมายโดยรวมของเพลงทั้งหมดก็คือ คุณรักฉันไหม สิ่งที่ฉันทำให้คุณ หรือว่าสิ่งที่คุณทำให้ฉัน คุณทำไปเพื่ออะไร คุณรักฉันจริงหรือเปล่า หรือว่าฉันรักคุณไปข้างเดียว ทั้งเพลงคือประโยคคำถามที่คนๆ นึง ทนไม่ไหวแล้วกับสิ่งที่คุณทำ เหนื่อยมากแล้ว ก็เลยต้องการคำตอบว่าคุณจะเลือกใครก็เลือกสักทีเถอะ มันจึงเป็นประโยคที่ ว่าคุณรักฉันไหม? Do you love me? แล้วไปเจอคำนี้ในภาษาอิตาลีมันอ่านว่า หมิ่ อามิ มันดูมีไดนามิก มันดูเป็นโน้ตดนตรี”
ออม: “คือเราว่ามันก็คอนเซ็ปต์ของวงเราอย่างหนึ่งค่ะ เรื่องการตั้งชื่อเพลงที่มันดูแปลก แตกต่างไป คือเราไม่ได้อยากให้หยุดอยู่แค่ที่ชื่อเพลงแล้วรู้สึกว่าแบบ อ๋อ เพลงมันหมายความแบบนี้ อยากให้แบบ เอ๊ะ มันหมายความว่าอะไรอ่ะ อยากเข้าไปฟังหรือตีความต่อ อย่าง SHIBUYA, 1991-1993, mi ami?, Labelle, 16090”
แรงบันดาลใจในการทำเพลงล่าสุด พวกเขามองว่าเป็นของขวัญให้แฟนเพลง และเป็นยุคใหม่ของ TELEx TELEXs
ออม: “อย่างน้อยๆ ปี 2021 เราปล่อยอัลบั้มไปแล้ว แล้วช่วงที่เราปล่อย มันเงียบเหลือเกิน แล้วเราจะไม่ทำอะไรอีกเหรอ เพราะฉะนั้นเลยทำเพลงนี้ขึ้นมา อย่างน้อยๆ ก็เป็นของขวัญให้แฟนเพลงว่า เออ เราก็มีเพลงใหม่นะ ที่ไม่ใช่แค่ในอัลบั้ม แล้วเราก็รู้สึกว่าเพลงนี้ มันเป็นสีสันใหม่ๆ ของ TELEx TELEXs ด้วยค่ะ คิดว่ามันเป็น New Era ก็ได้ คอร์ด วิธีการร้อง เมโลดี้ มันก็มีอะไรใหม่ๆ เข้ามาเยอะค่ะ แม้แต่กระทั่งมิกซ์มาสเตอร์เราทำเป็น Dolby Atmos ให้ทุกคนฟังแบบรอบทิศทาง เหมือนมี TELEx TELEXs อยู่ทุกที่ อยากให้ลองไปฟังกันค่ะ ตั้งใจทำมาก”
วงการเพลงไทยเกี่ยวข้องกับการเมือง
ความสัมพันธ์ของศิลปะ ดนตรี และการเมืองไทยในมุมมอง TELEx TELEXs
ออม: “การเมืองมีผลกับทุกๆ สิ่ง การเมืองมันมีผลกับวงการเพลงมากๆ แล้วเรารู้สึกว่าการส่งเสริมวัฒนธรรมของประเทศไทย คนจะมองความเป็นไทย เช่น รำไทย ดนตรีไทย อาหารไทย แต่ว่าจริงๆ แล้ว วัฒนธรรมความเป็นไทย เช่นเพลงไทยป็อป ไทยอินดี้ ร็อก อะไรก็ตามแต่ สุดท้ายกลิ่นความเป็นไทยก็ยังมีอยู่เช่นกัน ทำไมถึงไม่ส่งเสริมทางด้านนี้บ้าง”
ปิ้ว: “หรือทำไมต้องไปเล่นแต่ในร้านเหล้า ทำไมวงดนตรีต้องไปเกี่ยวข้องกับสุรา”
ออม: “ใช่ๆ มันไม่มีที่เปิด ที่ๆ มันไม่ใช่สีเทาให้พวกเราไปเล่น เพราะฉะนั้น ที่ๆ มันเป็นสีเทา มันเปิดโอกาสให้เรามากกว่า”
ปิ้ว: “แล้วพอแบบมีโรคระบาดมา พวกเราเป็นผู้จำเลยคนแรก แล้วก็ต้องโดนจองจำ”
ออม: “(หัวเราะ) ใช่ อันนี้เป็นสิ่งที่เรารู้สึกมาตลอดว่า คนดนตรี ไม่ว่าจะเหตุการณ์บ้านเมืองอะไรก็ตามแต่ สิ่งแรกที่งดคือดนตรี สิ่งแรกที่ถูกให้ขอความช่วยเหลือและขอความร่วมมือในการแสดงออก ก็คือนักดนตรี เพราะฉะนั้นสรุปคุณจะให้ค่าเรา หรือไม่ให้ค่าเรา เราก็งงนะ”
โควิด-19 จึงเป็นผลกระทบที่มาจากระบบการเมืองของไทย
ออม: “มันไม่ได้ส่งผลแค่พวกเรา มันส่งผลทั้งวงการ ทุกภาคส่วน เราเลยมองว่าหลายคนก็หมดไฟ อย่างเราก็มีท้อแท้ เมื่อไหร่เราจะได้ออกไปเจอคนนะ มันเป็นเรื่องปกติ เพราะว่าการออกไปเล่น หรือการออกไปเจอผู้คน ปฏิสัมพันธ์กับผู้คน แฟนเพลง มันเป็นส่วนหนึ่งเลยของการทำวง เพราะฉะนั้น การที่มันเกิดสิ่งนี้ขึ้นมา ทำให้เหมือนขาเราขาดข้างนึง”
ในปี 2021 TELEx TELEXs วางแผนหลายอย่าง แต่ไม่ได้ทำเพราะโควิด-19
ออม: “เยอะมากเลยค่ะ เช่น คอนเสิร์ตใหญ่ก็มี ก่อนหน้านี้ปีที่แล้วก็วางแผนจะไปญี่ปุ่น แต่ว่าเพราะสถานการณ์โควิด-19 เลยทำให้ทำไม่ได้” ออมพูดกับเราเช่นนี้
อนาคตของ TELEx TELEXs และวงการเพลงไทย
TELEx TELEXs บอกกับเราว่า อยากทดลองในซาวด์ดนตรีที่อยากจะพัฒนาวงการดนตรีไปด้วย ให้มันมีอะไรแปลกใหม่ ที่ไม่ใช่เพลงที่เหมือนกันในตลาด หรือที่มีอยู่แล้ว TELEx TELEXs จึงอยากจะเป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันวงการเพลงไทยให้มีมิติที่หลากหลายมากขึ้น
ปิ้ว: “มีคุณภาพที่มันดีมากขึ้น ใช้ความรู้สึกมากขึ้น ตั้งใจ ทุกคนก็ตั้งใจในเพลงของตัวเอง แค่แบบว่า การเลือกซาวด์หรือว่าอะไรบางอย่าง มันพูดยากเหมือนกัน มันเป็นศิลปะ ซึ่งคนเขาก็อาจจะชอบรูปภาพที่ดูแล้วสบายตา แต่แอบแฝงอะไรบางอย่าง ซึ่งเราอาจจะเป็นคนชอบรูปที่มัน Abstract ขึ้นมาหน่อย มันคือรสนิยมของแต่ละคนด้วยครับ”
ออม: “สิ่งที่เราแอบคาดหวังกับวงการเพลงนิดนึง คือในแง่ของคนฟัง อยากให้คนฟังรู้สึกว่า เปิดโอกาสให้วงหน้าใหม่ๆ ดนตรีแนวใหม่ๆ ซาวด์ใหม่ๆ มันไม่ได้มีแค่ป็อปร็อก หรือ Mainstream แค่อย่างเดียว จริงๆ ยังมีคนที่อยากจะทำอะไรใหม่ๆ ขึ้นมา เพื่อให้คุณได้เปิดประสบการณ์อะไรก็ตาม ที่คุณอาจจะหาจากที่อื่นไม่ได้ เรามองว่าวงดนตรีทุกวง เหมือนเป็นที่เที่ยวที่ไม่เหมือนกัน เรายังชอบไปเที่ยวหลายๆ ที่เลย ทำไมเราถึงไม่ลองฟังเพลงหลายๆ แนวบ้าง”
“เพลงต้องตอบโจทย์ตลาด หรือตอบโจทย์ตนเองมากกว่า” เราถามพวกเขา
ปิ้ว: “จริงๆ มันคือการบาลานซ์มากกว่า เราก็อยากทำเพลงของเราให้มันป็อปที่สุด เท่านี้เราจะทำได้ แต่เราก็ยังไม่ลืมตัวเอง เราชอบดนตรีแบบนี้นะ เราไม่ได้ชอบดนตรีที่มันมีอยู่แล้ว หรือที่คนเขาชอบกันขนาดนั้น เราก็อยากนำเสนอสิ่งที่เราชอบและให้ทุกคนชอบไปด้วยกันนะ มันคือสิ่งที่ประสบความสำเร็จจริงๆ ที่เราพยายามทำให้มันป็อบแล้วเราก็ชอบแล้ว เขาก็ชอบ เคยได้ยินแบบว่า เออ เราอยากจะทำเพลงที่ทุกวันนี้เราร้องแล้วมีคนชอบ และอีก 10 ปีข้างหน้า เราก็ยังร้องโดยที่เราไม่เขิน เราอยากทำแบบนั้น ซึ่งมันยังมีความเป็นตัวเอง แล้วมันเท่”
ออม: “เรามองว่าต่อให้เป็นศิลปินอย่างที่ทำเพลงตอบโจทย์ตลาด เราก็มองว่าอันนั้นอาจจะเป็นตัวเขาก็ได้ ถ้าเขาทำได้ดี เราก็มองว่าสุดท้ายแล้ว สิ่งที่เขาทำมันก็คือ Comfort Zone ของเขา เพราะเรารู้สึกว่า ถ้าอะไรที่มันไม่ Comfortable พอมันเป็นเรื่องอารมณ์ แล้วมันต้องสื่อสารออกไป ถ้ามันไม่ใช่จริงๆ มันทำไม่ได้หรอก”
นาว: “ก็อยากจะป็อปเหมือนกันครับ อยากให้คนฟังเยอะๆ ทุกคนรับฟังได้ แต่มันก็อยากเป็นตัวเองเหมือนกัน ก็ถูกต้องแล้ว อย่างที่เพื่อนบอก”
พวกเขาพูดถึงอนาคตของตนเอง ที่ยังคงอยากให้ TELEx TELEXs อยู่ต่อไป ตราบเท่าที่แฟนคลับของพวกเขายังรัก เชื่อมั่น และยังฟังเพลงพวกเขาอยู่
ออม: “อยากให้มี TELEx TELEXs ต่อไปเรื่อยๆ และก็หวังว่า ไม่ว่าคนที่เขาอยู่กับเราตั้งแต่วันแรก เขาก็จะอยู่กับเราไปเรื่อยๆ ไม่ว่าเราจะเติบโตไปในทิศทางไหน แล้วเราก็เชื่อว่าสิ่งที่เราทำมาจนถึงทุกวันนี้ เราก็ยังไม่เห็นความผิดหวังจากใครต่อตัวพวกเรา เพราะฉะนั้น เราหวังว่าการที่เราเป็นตัวเองแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ พัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อยๆ ก็คงไม่ทำให้ใครผิดหวังค่ะ”
ปิ้ว: “น่าจะมีอัลบั้มต่อๆ ไป ถ้าได้รับ Input ที่มันดี หรือว่าได้ออกไปเล่นสักที ก็น่าจะได้มีอัลบั้มต่อๆ แม้กระทั่งคอนเสิร์ตใหญ่ของพวกเราเอง”
นาว: “ขอให้มีคนฟังเรื่อยๆ ครับ ขอให้มีวงไปเรื่อยๆ”
Finale
TELEx TELEXs ฝากถึงคนที่มีความฝันในการเป็นศิลปิน แต่ยังไม่ได้มายืนตรงจุดนี้
ออม: “อยากฝากถึงทุกคนว่า ไม่ได้ลำบากอยู่คนเดียวนะคะ (หัวเราะ) ยังคงมีเพื่อนๆ ร่วมวงการ อย่างพวกเราจริงๆ รู้สึกลำบากเหมือนกัน ท้อแท้ได้ค่ะ แต่ว่าอย่าเพิ่งหยุดทำในสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ เพราะเราเชื่อว่าการที่คุณทำอะไรออกมาสักอย่างนึง มันมีคนพร้อมจะรับฟังอยู่แล้ว ที่จะร่วมเสพในสิ่งเดียวกัน ถ้าคิดจะเป็นศิลปิน ต้องเชื่อด้วยว่าจะมีคนฟังค่ะ ท้อได้ค่ะ แต่อย่าหยุดทำ”
นาว: “ครับสู้ๆ ครับ ทำต่อไปเรื่อยๆ ครับ ที่อยู่ได้ก็เพราะทำต่อไปเรื่อยๆ ขยันทำเรื่อยๆ ครับ อยู่ดีๆ อะไรจะมา ก็เกิดเองครับ เพราะเราทำดีที่สุดแล้ว”
ปิ้ว: “ถ้าเกิดทุกคนมีสิ่งที่ตัวเองชอบ แล้วค้นหามันเจอแล้ว จริงๆ ทุกคนก็จะทำสิ่งนั้นให้มันดีที่สุดอยู่แล้ว ไม่ว่าผลลัพธ์มันจะเป็นแบบไหน มันต้องใช้เวลาอยู่แล้ว มันอยู่ที่ความพยายามของพวกเรา หรือว่าสิ่งต่างๆ ที่หล่อหลอม สุดท้ายมันเป็นเราที่ไม่เหมือนใครอยู่แล้ว”