พูดถึงกรุงเทพมหานคร ปัญหาหนึ่งที่สำคัญและแก้กันไม่ตกเลยก็คือขยะ โดยเฉพาะกระบวนการจัดการขยะและการใช้งบประมาณด้านขยะที่ถูกสะสมมาอย่างยาวนาน ซึ่งกรุงเทพมหานครเป็นพื้นที่ที่มีขยะล้นเมืองมากที่สุดที่หนึ่ง บางครั้งปัญหาขยะยังส่งผลต่อประชาชนคนเมืองกรุงฯ ในพื้นที่นั้นๆ รวมถึงยังทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการจัดการพื้นที่ให้เกิดประสิทธิภาพ มลพิษเน่าเสีย ภูมิทัศน์ของตัวเมืองทั้งหมด และอื่นๆ อีกมากมาย
นี่เลยเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครหลายคนเข้ามาแก้ไขก็ไม่จบเสียที เกิดปัญหานี้ที แก้ปัญหาโน้นที เรียกได้ว่าถ้าจะยกเป็นวาระแห่งเมืองกรุงฯ ได้ก็คงจะยกไปแล้วด้วยซ้ำ
คำถามคือ เราจะแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร และปัญหานี้ถูกแก้มามากน้อยแค่ไหนบ้าง?
ต้นตอขยะล้นเมือง คือการไม่แยกขยะ – จัดการไม่ถูกวิธี
หากจะพูดถึงเรื่องราวของขยะนั้น ข้อมูลจาก Greenpeace บอกว่า สาเหตุของปัญหาซ้ำซากของกรุงเทพฯ อย่างปัญหาขยะล้นเมืองนั้น มาจากการจัดการขยะอย่างไม่ถูกวิธี หรือคือการไม่แยกขยะนั่นเอง โดยที่ผ่านมาสิ่งที่ทั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนก่อนๆ หรือหน่วยงานภาครัฐพยายามทำเสมอมาก็คือ การสร้างจิตสำนึกให้คนกรุงฯ รู้จักการแยกขยะและทำให้เป็นนิสัยเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระให้กับเมือง
แต่วิธีการมองแบบนี้จากหน่วยงานภาครัฐค่อนข้างจะเป็นการโยนความผิดไปให้ประชาชนไปสักหน่อย เป็นการมองปัญหาไปที่จิตสำนึกของประชาชน ซึ่งในแง่หนึ่งก็เป็นนามธรรมและจับต้องได้ยาก แต่ในความเป็นจริงแล้วปัญหาการแยก (และไม่แยก) ขยะ และการจัดการอย่างไม่ถูกวิธีเป็นปัญหาของโครงสร้างการจัดการขยะของกรุงเทพมหานครเสียมากกว่า ซึ่งกรุงเทพมหานครยังขาดซึ่งสถานที่และวิธีการที่เหมาะสมในการจัดการขยะ หนำซ้ำระบบการจัดการที่มีอยู่ ในมุมองของประชาชนก็ขาดซึ่งความชัดเจน จนทำให้เกิดชุดความคิดที่ว่า “แยกไปเขาก็เทรวมอยู่ดี” ซึ่งแม้ว่าชุดความคิดดังกล่าวจะไม่ได้ตรงตามความเป็นจริงนัก แต่การขาดซึ่งความชัดเจนในระบบการจัดการ ก็ทำให้ประชาชนมีชุดความเชื่อเช่นนี้ ส่งผลต่อพฤติกรรมในการจัดการขยะในระดับปัจเจกตามมา
ดังนั้นเราอาจต้องเริ่มจากการมาดูที่ระบบการจัดการขยะของกรุงเทพมหานครว่าเป็นอย่างไร และมีประสิทธิภาพมากเพียงใด
ระบบที่เหมือนไม่มีระบบ – จึงไปจบที่การโยนภาระให้ผู้อื่น
ขยะในกรุงเทพฯ เฉลี่ยแล้วมีจำนวน 12,281 ตัน/วัน โดยชาวกรุงเทพมหานคร 1 คนสร้างขยะ 2.2 กิโลกรัมต่อวัน หากจะพูดว่ากรุงเทพมหานครเป็นเมืองที่สร้างขยะสูงที่สุดในประเทศไทยก็คงไม่ผิดนัก แต่ระบบการจัดการขยะของกรุงเทพมหานครนั้น กลับมีประสิทธิภาพต่ำอย่างน่าใจหาย จนอาจเรียกได้ว่าไม่มีระบบการจัดการจะถูกต้องกว่า
จากขยะจำนวนทั้งหมด 12,281 ตันนั้น แบ่งเป็นขยะรีไซเคิล 3,672 ตัน และขยะที่ต้องนำไปกำจัดอีก 8,609 ตัน ซึ่งขยะรีไซเคิลทั้งหมดจะไปจบที่โรงงานรีไซเคิล แม้ว่าจะมีปัญหาเชิงเทคนิคของการรีไซเคิล ที่อาจทำให้ไม่สามารถนำไปเข้าสู่กระบวนการแปรสภาพได้ทั้งหมด แต่การจัดการขยะรีไซเคิลนั้น ไม่ใช่ปัญหาหลักที่ชวนปวดหัวมากนัก เราจึงขอให้ความสนใจกันที่ขยะที่ต้องนำไปกำจัด ซึ่งถือว่าเป็น 70.10 % ของขยะทั้งหมดในกรุงเทพมหานคร
ซึ่งขยะประเภทนี้ก็แยกย่อยออกได้อีกเป็น 2 ประเภท ประเภทแรก คือขยะอินทรีย์ พวกเศษอาหาร หรือพวกต้นไม้ที่ถูกตัด จำนวน 3,874 ตันต่อวัน คิดเป็น 45% ของขยะที่ต้องนำไปกำจัดของ กทม. วิธีการจัดการคือการนำไปหมักปุ๋ย และผลิตเป็นพลังงาน โดยนำไปหมักปุ๋ยอินทรีย์ที่โรงหมักอินทรีย์อ่อนนุช โรงงานผลิตปุ๋ยอ่อนนุช และโรงงานผลิตปุ๋ยหนองแขม
หากนับรวมโรงงานกำจัดขยะ MBT อ่อนนุชที่โดนพักใบอนุญาตไปด้วยนั้น กรุงเทพมหานครสามารถกำจัดขยะอินทรีย์ได้ราวๆ 2,600 ตันต่อวัน คิดเป็น 67.11% ของขยะอินทรีย์ต่อวันทั้งหมดในกรุงเทพมหานคร แม้จะยังไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยนัก แต่ก็จะเห็นได้ว่าการจัดการขยะอินทรีย์ของกรุงเทพฯ ก็ยังไม่ใช่ปัญหาที่หนักหนาสาหัสเท่าไร
ขยะที่ชวนปวดหัวของกรุงเทพมหานครก็คือ ขยะประเภทที่สอง ขยะมูลฝอย ซึ่งมีจำนวน 4,735 ตันต่อวัน คิดเป็น 55% ของขยะที่ต้องถูกนำไปกำจัด เป็นขยะที่ถือได้ว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจของเมืองมาตั้งแต่ไหนแต่ไร โดยวิธีการจัดการมีด้วยกันสองวิธี วิธีแรกคือการนำไปเข้าเตาเผาพลังงาน และวิธีที่สองคือการนับไปฝังกลบ
โดยปัจจุบันกรุงเทพมหานครมีเตาเผาพลังงาน เพียง 1 เตา และรับขยะได้ไม่เกิน 500 ตันจากจำนวนขยะมูลฝอย 4,735 ตันต่อวัน หมายความว่ากรุงเทพมหานครสามารถกำจัดขยะมูลฝอยโดยเพียงแค่ 10.56% ของจำนวนขยะมูลฝอยทั้งหมดที่เหลือต้องนำไปฝังกลบและการนำขยะมูลฝอยไปฝังกลบนั้น ก็ไม่ได้นำไปฝังกลบในพื้นที่ของกรุงเทพมหานครเอง แต่นำไปฝั่งกลบที่บ่อขยะฝั่งกลบที่จังหวัดนครปฐม และจังหวัดฉะเชิงเทรา
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงระบบการจัดการขยะของกรุงเทพมหานคร เป็นระบบที่มีขีดความสามารถในการจัดการขยะที่ต่ำมากจนแทบจะไม่มีระบบก็ว่าได้ และเมื่อระบบที่มีอยู่ไม่สามารถจัดการได้ สุดท้ายกรุงเทพมหานครจึงต้องผลักภาระของตนไปให้เมืองอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่แค่ผลักภาระการจัดการไปให้เท่านั้น แต่ยังผลักความเสี่ยงของเมืองตัวเองจะต้องเผชิญกับความเสื่อมโทรมทางภูมิทัศน์และคุณภาพชีวิตที่ต่ำของประชาชน ไปให้คนเมืองอื่นต้องเผชิญแทนอีกด้วย
ดังนั้นจากนี้ไป เวลาที่เราพูดถึงขยะล้นเมือง ขอให้เข้าใจตรงกันว่าไม่ได้ล้นเมืองกรุงเทพมหานคร แต่ไปล้นเมืองอื่นๆ แทน
มรดกการจัดขยะจากผู้ว่าฯ ในอดีต
ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในอดีตแม้จะมาจากต่างพรรคการเมืองกัน แต่ก็มีนโยบายการจัดการขยะที่ไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไรนัก โดยเฉพาะผู้ว่าในยุคหลังๆ ที่ต่างก็ดำเนินนโยบายจัดการขยะโดยอิงจากแผนพัฒนากรุงเทพมหานครทั้งสิ้น โดยนโยบายก็มีทั้งนโยบายที่เน้นไปที่ตัวระบบการจัดการ เช่น การก่อสร้างเตาเผามูลฝอยติดเชื้อขนาด 10 ตันต่อวัน จำนวน 2 เตาในสมัยกฤษฎา อรุณวงษ์ ณ อยุธยา (2535-2539) และนโยบายที่เน้นไปที่รณรงค์สร้างจิตสำนึกของประชาชนอย่าง “ขยะในมือท่านลงถังเถอะครับ” ในสมัยพิจิตต รัตตกุล (2539-2543)
แต่นอกจากโรงเผาขยะต่างๆ และจิตสำนึกบางชุดที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครพยายามปลูกฝังแล้ว มรดกอีกอย่างที่ส่งผลอย่างมากมาจนถึงปัจจุบันคงต้องย้อนไปในสมัยเทียม มกรานนท์ (2524-2527) ที่ดึงเอาภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการขยะในกรุงเทพมหานครจนกลายมาเป็นโมเดลหลักที่กรุงเทพมหานครพึ่งพิงภาคเอกชนในการจัดการขยะเป็นส่วนใหญ่จนถึงทุกวันนี้
ย้อนดูงบประมาณมหาศาลที่ไม่ก่อให้เกิดระบบการจัดการที่เข้มแข็ง
เป็นที่น่าเสียดายว่า ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน กรุงเทพมหานครใช้งบประมาณไปมหาศาลกับเรื่องการจัดการขยะ แต่กลับไม่ได้ทำให้กรุงเทพมหานครมีระบบการจัดการขยะที่เข้มแข็งมากขึ้นเลยแม้แต่น้อย เพราะงบประมาณส่วนใหญ่ถูกนำใช้ไปในการว่าจ้างภาคเอกชนให้เข้ามาจัดการขยะแทน ทั้งในเรื่องการจัดเก็บและการจัดการ โดยในด้านการจัดเก็บ ที่สำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร ว่าจ้างรถเก็บขยะจากเอกชนมาจัดการเก็บขยะ และในด้านการจัดการ ตามแผนพัฒนากรุงเทพมหานคร ฉบับ 20 ปี (พ.ศ.2556-2575) กรุงเทพมหานครได้อนุมัติโครงการจ้างเหมาเอกชนกำจัดขยะมูลฝอยไปแล้ว 2 จาก 6 โครงการ โดยระยะสัญญาของโครงการนั้นยาวนานถึง 24 ปี
การว่าจ้างเอกชนที่มีความชำนาญเข้ามาจัดการนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ในฐานะเมืองหลวงที่ถูกยกให้เป็นเมืองต้นแบบของเมืองอื่นๆ ในประเทศไทย กรุงเทพมหานครต้องมีความสามารถในการจัดการขยะของตัวเองได้ดีในระดับหนึ่งก่อน จากนั้นจึงค่อยดึงภาคเอกชนเข้ามาช่วยจัดการในส่วนที่ขาดตกบกพร่อง ไม่ใช่ผลักภาระให้ภาคเอกชนเป็นส่วนใหญ่ เพราะแม้จะดีในระยะสั้น (เพราะรวดเร็วกว่าการต้องมานั่งปรับโครงสร้างทั้งระบบ) แต่ในระยะยาวนั้นไม่ก่อให้เกิดผลดีเลยแม้แต่น้อย
งบประมาณมหาศาลที่ทุ่มลงไปในการจัดการขยะของกรุงเทพฯ นอกจากจะต้องจัดการขยะได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว จะต้องสร้างระบบจัดการขยะของตัวเองให้ได้ด้วย ไม่งั้นจะยังไง๊ ยังไงปัญหาขยะก็จะเป็นปัญหาซ้ำซากของกรุงเทพมหานครอยู่วันยังค่ำ
การจัดการขยะของกรุงเทพฯ กับภาพสะท้อนอำนาจรวมศูนย์แบบเมืองพ่อเมืองลูก
การจัดการขยะของกรุงเทพมหานครสะท้อนภาพของอำนาจที่รวมศูนย์เข้ามาในกรุงเทพฯ ได้เป็นอย่างดี ประโยคที่ว่า “ความเจริญทั้งหมดกระจุกตัวอยู่ที่กรุงเทพฯ” คงเป็นสิ่งที่ทุกคนคิดกันมาช้านานไม่เพียงแต่เป็นเรื่องการดึงความเจริญเข้ามาสู่กรุงเทพฯ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเป็นการผลักความไม่เจริญ ความเสื่อมโทรม และภาระต่างๆ ไปสู่เมืองอื่นๆ อีกด้วย
จะเห็นได้จากการส่งขยะมูลฝอยไปฝังกลบที่จังหวัดนครปฐมและฉะเชิงเทรา จนทำให้สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรม ทำให้ประชาชนในบริเวณนั้นมีคุณภาพชีวิตที่ย่ำแย่ เป็นการสะท้อนแนวคิดของผู้นำตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันว่า เมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานคร เป็นเมืองที่ใช้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง และเป็นเมืองศูนย์กลางของประเทศ จะต้องสวยงาม สบายตา ดูมีอารยะอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นแล้ว ขยะและความเสื่อมโทรมเหล่านี้ เมืองอื่นๆ ซึ่งเป็นเสมือนเมืองลูกจะต้องช่วยกันรับไป เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระให้เมืองพ่ออย่างกรุงเทพมหานครยังคงสวยงามและยิ่งใหญ่อยู่เรื่อยไป
เรื่องนี้ยังสะท้อนแนวคิดที่กรุงเทพมหานครไม่เคยมองการจัดการปัญหาขยะเป็นเรื่องเร่งด่วน และไม่เคยคิดจะสร้างระบบที่มีประสิทธิภาพ กรุงเทพฯ ยังมองว่าเมืองอื่นๆ ยังสามารถรับหน้าที่จัดการตรงนี้ได้ในขณะที่กรุงเทพฯ เตรียมพร้อมอยู่เสมอในการเปิดรับความเจริญที่จะเข้ามา เมืองอื่นๆ ก็ต้องเตรียมพร้อมเสมอในการจะรับความไม่เจริญที่ถูกส่งไปเช่นกัน
จะเห็นได้ว่าปัญหาหลักของกรุงเทพฯ ในการจัดการกับขยะนั้นอาจไม่ใช่แค่ ‘ระบบที่ไม่ดี’ เท่านั้น แต่อาจเป็นเรื่อง ‘ระบบที่ไม่มี’ ด้วย ในขณะที่ทั้งตัวผู้นำและหน่วยงานต่างๆ ของกรุงเทพมหานครมักจะโยนภาระไปที่จิตสำนึกของประชาชนอยู่บ่อยครั้ง แต่จริงๆ แล้ว สิ่งที่เป็นปัญหาอาจไม่ใช่จิตสำนึกของประชาชนที่อยู่ในกรุงเทพมหานคร แต่เป็นจิตสำนึกของกรุงเทพมหานครเองต่างหากที่เป็นปัญหา
อาจถึงเวลาแล้วที่พวกเราต้องผลักดันให้เกิดการปรับจิตสำนึกของเมืองเสียใหม่ ไม่ใช่แค่ทำระบบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่จะต้องเลิกผลักภาระไปให้เมืองอื่นๆ และหันมาจัดการภาระของตัวเองด้วยตัวเอง
ไม่งั้นจะยังไง๊ ยังไงก็แก้กันไม่จบไม่สิ้นเสียที
อ้างอิงข้อมูล Greenpeace และ Rocket Media Lab