วิว-วรรณรท สนธิไชย คือนักแสดงคนหนึ่งที่ได้รับการยอมรับในฝีไม้ลายมือทางการแสดงที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ตลอด 13 ปี ตั้งแต่แก้วล้อมเพชร ที่เป็นละครเรื่องแรกของเธอ ซึ่งเธอเคยโดนแซวไปจนถึงวิพากษ์วิจารณ์ว่าการแสดงของเธอนั้น “แข็ง” มาก
แต่คำวิจารณ์เหล่านั้นกลับทำให้เธอพัฒนาตัวเองอย่างหนักหน่วงมากขึ้นเรื่อยๆ ละครเรื่องต่อเรื่องทั้งบทนำและรับเชิญต่างเป็นเครื่องพิสูจน์ที่ทำให้เรายอมรับเธอได้อย่างหมดใจถึงความสามารถในการแสดงของเธอ
ทำให้เธอมาถึงจุดชมวิวได้ที่สุด
หมายถึงจุดที่ผู้คนต่างชื่นชมเธอทั้งในแง่ของศักยภาพและความพยายาม
และวันนี้เรามาถึงจุดชมวิวแล้ว นั่งคุยกับเธอกัน
ก่อนเราจะมาคุยกับคุณ เราเพิ่งดูคลิปสั้นจากละครเล่ห์นางฟ้าใน TikTok
จำได้ๆ สนุกมาก คิดดูสิคะ บทมันก็หลากหลายเนอะ วิวก็ไม่คิดว่าวันนึงวิวจะเล่นละครโดยการดูนกเป็น Reference เพราะว่าเราต้องเล่นเป็นนกใช่มั้ย เวลาโดนสาปจะมีการอินเสิร์ทว่าแบบเป็นเราเล่น วิวก็จะแบบ “น้องนก” นักแสดงก็จะมีหลายตัว แต่ว่าเค้าได้รับการฝึกฝนมาแล้วก็เล่นตามเค้า เค้าจิกคืออะไร ไซร้คืออะไร วิวก็คือ เล่นตาม ลองทำตาม แล้วพี่ผู้กำกับเนี่ยค่ะ ก็พอเวลา มีฉากที่มีนกเนี่ยกินข้าว จิกอาหาร แล้วเค้าก็จะตัดภาพมาที่วิว วิวก็ต้องใช้ปากแล้ววิวก็ต้องเอาปากไปเปิดสวิตช์ไฟ คือเล่นทุกอย่าง เป็นนกไปเลย ก็แบบตลกดีนะ ที่ครั้งหนึ่งที่เราจะได้เป็นสัตว์ เป็นอะไรสักอย่าง คือจริงๆ เรียนจากหม่อมน้อย (หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล) มาคือหม่อมน้อยจะสอนให้มีเราเรียนเป็นตัวไหน ให้เราเชื่อในสิ่งนั้น คือทุกอย่างแค่มันไม่ใช่ตัวเรา
จำได้มั้ยว่าเริ่มเข้าวงการจากอะไร
ก็มีการเห็นวงการบันเทิงบ้าง ตอนเด็กๆ ได้ไปออกรายการอะไรบ้างแล้วนิดๆหน่อยๆ แต่เราก็ไม่ได้ชอบไม่ได้สนใจอะไรค่ะ พอมาเรียนเริ่มสตรีวิทย์ฯ มัธยมใช่มั้ยคะ เค้าก็จะฮิตการถ่ายแบบนิตยสารแฟชั่นหนังสือ Knock Knock! (ปัจจุบันปิดตัวแล้ว) หนังสือ i like (ปัจจุบันปิดตัวแล้ว) แบบดาวโรงเรียน เราก็ได้ไปถ่าย แต่ก็จบแค่นั้น พอเข้ามหาวิทยาลัยศิลปากรได้ไปดูสน (ยุกต์ ส่งไพศาล) ค่ะ คุณสนนางก็เป็นนายแบบแล้วก็มาออดิชั่นของเอ็กแซ็กท์ แล้ววิวเป็นเพื่อนกัน รู้จักกัน สนก็บอก “วิวมาดูเราสิ” แบบอยู่ใกล้ๆ มั้ย เค้ามีการแคสต์ ก็แบบที่หลายๆ คนเล่าเลยค่ะ ที่มาดูเพื่อนออดิชั่นอะ วิวก็มาดูแล้วพอดีมาเจอพี่ต๊ะ-ฝ่ายแคสติ้ง พี่ป้อน (นิพนธ์ ผิวเณร) เนี่ยใคร เพื่อนสนอะ เอามาแคสต์ด้วยเลย ลองเล่นดู วิวก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลยค่ะ แต่ว่ามันก็รู้สึกว่ามันน่าสนุกดี อะลองดู เราก็ลองดูเสร็จ เล่นให้เค้าดู ไปปุ๊ปตอนเย็นของคืนนั้น เค้าก็โทรมาอยากให้เซ็นสัญญา
แล้วคุณก็ได้เล่นแก้วล้อมเพชรเป็นเรื่องแรก ละครเรื่องนั้นทำให้คุณรู้แล้วใช่มั้ยว่าคุณชอบการแสดง
ก็คือกระแสฟีดแบคที่ออกมาตอนละครออนแอร์ คือมันออกมาสู่สายตาคนดูคนไม่ได้โดนด่าจนเสียหลัก แต่เรตติ้งดี ผลงานที่ออกมาโดยรวม ก็เออ น่าสงสารน้ำเพชรนะ ในด้านภาพอะไรต่างๆ เขาก็ชื่นชมชอบ เราก็มีหนึ่งใจว่าอย่างน้อยก็น่าจะมีโอกาสต่อๆ ไป ตอนนั้นก็ไปปรึกษาหม่อมน้อยค่ะ หม่อมก็บอกว่าว่าไม่ใช่หนูว่าทำไม่ได้ หม่อมก็ให้กำลังใจเราว่าชอบรึเปล่า เราทำเต็มที่รึยัง เราลองเต็มที่ดูมั้ย เราอาจจะไปผิดทาง เราเอาปัญหาที่ได้มาลองพยายามดูไหม เล่นไม่ได้ตรงไหน เพราะวิวชอบไม่มั่นใจ หรือชอบเสียสมาธิคือมาฝึก พอเรื่องต่อๆ มา อะไรที่เราทำไม่ได้ แล้วพอมันผ่านไปได้ มันมีกำลังใจ แล้วมันมีความภาคภูมิใจของตัวเอง ก็เลยเป็นแรงฮึบมาโดยตลอด
แล้วประหม่ามั้ย
จริงๆ ในกองถ่ายละครตอนนั้นเหมือนมีเพื่อน ไม่ได้ว่าใหม่แล้วมาเล่น ก็เจอแต่นักแสดงมืออาชีพ เราก็คิดว่าเออมีเพื่อนตั้งเยอะตั้งแยะ แต่พอวันที่ถ่ายจริงก็คือตื่นเต้นมากๆ เพราะว่ามีทั้งพี่กวาง (กมลชนก เขมะโยธิน) หรืออย่างน้าหมู (ดิลก ทองวัฒนา) คือทุกคนมืออาชีพมาก เก่งมาก ตอนถ่ายวันแรกก็เลยเกิดความตื่นเต้นเอย เล่นไม่ได้เอย เพราะว่ามันเป็นดราม่าหนักๆ ในชีวิต แล้วเรารู้สึกว่าชีวิตเรายังไม่มีประสบการณ์ดีกว่า เราไม่ค่อยเข้าใจกันอะไรต่างๆ แต่ก่อนที่เราจะเล่นละคร ทางเอ็กแซ็กท์ส่งเราไปเรียนกับหม่อมน้อยอยู่แล้ว แต่ว่าสุดท้ายแล้วมันก็ต้องหาประสบการณ์เอง
เรื่องแรกก็คือยากมาก วิวร้องไห้ 1 ฉากใช้เวลา 3 ชั่วโมง เราเคยคุยกับคุณแม่ว่า หรือมันไม่ใช่ทางเรานะ เรารู้สึกว่าเหมือนทำไม่ได้ แล้ววิวเป็นคนที่ปกติจะทำอะไรต้องให้มันสุดและอยากทำให้ดี แต่เรื่องนั้นเราทำไม่ได้เลยรึเปล่า เรียกว่าเรามาลองทำดูเพื่อค้นหาตัวเอง แล้วเราไม่ได้อยากเป็นนักแสดงตั้งแต่แรก
ซึ่งหนึ่งในพระเอกที่คุณร่วมงานด้วยบ่อยๆ ตั้งแต่เรื่องแรกก็คือสน
ใช่ อย่างแต่ปางก่อน หรือสาวน้อย คือสน (ยุกต์ ส่งไพศาล) เนี่ย จริงๆ เริ่มเข้าวงการด้วยกัน แต่ก็เจอกันน้อยมากเหมือนกัน เห็นกันตั้งแต่เรียกว่ายังเล่นแข็ง อย่างตอนแรกละครแก้วล้อมเพชร เป็นละครที่อนุรักษ์ธรรมชาติ ถามว่าทำไม คนนึงเป็นก้อนหิน คนนึงเป็นท่อนไม้ (หัวเราะ) จนเล่นแต่ปางก่อน ที่ผ่านมาก็พัฒนากันขึ้นเรื่อยๆ จนรักวุ่นวายเจ้าชายกบ คือเรียกว่าวิวกับสนเป็นคู่จิ้นของเอ็กแซ็กท์แรกๆ เลย แล้วทางจีนค่ะจะชอบวิวสนมาก เค้าก็จะคอยซัพพอร์ตรอดูละคร ซึ่งพอเวลาเหมือนเรามีละครร่วมกันก็จะตื่นเต้นมาก วิวกับสนก็มีไปแสดงโชว์ที่จีน ก็คือแบบเกิดมาด้วยกันโตมาด้วยกัน
หลังจากนั้นคุณก็ได้เล่นเป็น “นางเอก” ในอีกหลายๆ คาแรคเตอร์ คิดว่าได้เรียนรู้อะไรจากการเป็นนางเอกในหลายๆ มิติ
ก็น่าจะเป็นการทำงาน การได้เจอคนหลากหลายแบบที่เติบโตมาจากคนละที่กัน วิวรู้สึกว่ามันคือการที่ได้รับฟังและการทำงานร่วมกับคนอื่น มันคือการรับผิดชอบในจุดของตัวเอง พอการทำงานเป็นนักแสดง ร่วมงานในกองถ่าย มันเป็นอะไรที่จะต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับผู้อื่นให้ได้ด้วย ไม่ใช่ว่า เออ เอาตัวเองคนเดียว ต้องดูแลคนอื่น และการรับฟังความคิดเห็นไม่ใช่ว่าเราถูกอย่างเดียว มันเป็นการสอนนะ การทำงานต่างๆ แล้วก็ได้รู้จัก ได้เจอพระเอกหลายคน ก็เอามาใช้ในการแสดงได้ คือแต่ละคนต่างกันมีบุคลิกต่างกัน มีความคิด ทัศนคติต่างกัน แล้วก็เอามาใช้ว่าเนี่ยตัวละครต่างๆ มันมีอีกหลายมิติ เราก็จะได้เก็บขโมยที่เราเจอคนแปลกๆ ต่างๆ เนี่ยมาใช้
คุณทำการบ้านกับบทที่ได้รับยังไงบ้าง
ของวิวจะใช้ Reference จากหนังหรือละครเลยค่ะ คือนางเอกมันมีหลายรูปแบบมาก ละครก็มีหลายแบบ สมมติว่าโรแมนติกคอมเมดี้ก็มีหลากหลาย คนสู้คนหรือคนอ่อนแอ คนแบบชอบร้องไห้ก็มีหลายแบบ คือจะพยายามหาอะไรใหม่ๆ ตลอดเวลา อะไรที่เราเคยเล่นแล้วก็เหมือนจะเก็บไว้ใช้ เหมือนเวลาที่เค้าบอกให้ไปเรียนการแสดงเพิ่ม มันจะมีหลายช่องทางที่เราจะเลือกใช้ หัวเราะกี่แบบ ร้องไห้กี่แบบ เลยเป็นความสนุกที่เราหาอะไรใหม่ๆ ไอ้ที่เราไม่เคยทำแล้วเราก็คอยอัพเดทไง เวลาเราดูหนังมันมีอะไรเพิ่มเติม มีการเล่นแบบใหม่ การเล่นมันเปลี่ยนไป มันธรรมชาติมากขึ้น เมื่อก่อนถ้าเราดูนะ ละครมันจะเป็นแบบชัดเจน ร้องไห้ก็ซูมกันเข้ามา เล่นใหญ่ แต่เดี๋ยวนี้ก็จะธรรมชาตินะ พูดกันแบบปกติ มันคือการที่อยู่วงการ หรือไม่ว่าจะสังคมไหนๆ แล้วเราอยู่ได้อย่างมีความสุขคือ เราต้องพร้อมปรับตัวตลอดเวลา แล้วก็พัฒนาไปเรื่อยๆ ไม่หยุดอยู่ตรงไหนสักแห่งหนึ่ง เชื่อว่าตัวเองยังพัฒนาไปได้เรื่อยๆ ยังไม่ได้เก่งที่สุด ก็เรียนรู้จากคนรอบข้าง
ใครเป็นต้นแบบในการแสดงของคุณ
พี่อ้อม (พิยดา จุฑารัตนกุล) เพราะคืออย่างก่อนที่จะรู้จักกัน ก็รู้ว่าเป็นนางเอกช่องที่แบบ ที่สุดแล้ว แล้วพอเจอพี่อ้อมก็เป็นช่วงที่พี่อ้อมแต่งงาน มีครอบครัวแล้วกำลังจะมีลูก คือรู้สึกว่าชีวิตทำได้ดีหมด แล้วรับผิดชอบอะไรต่างๆ ดีมาก จนทุกวันนี้สนิทกัน พี่อ้อมก็คือเป็นไอดอลของไทยคนนึงเลยที่ชอบ
การมีชื่อเสียงที่ต่างประเทศจนทำให้ละครซึ่งเป็น Soft Power ในไทยเป็นที่รู้จัก เรื่องนี้มีความหมายกับคุณยังไงบ้าง
ตื่นเต้น มันไม่ได้มีแค่ทางคนไทยที่รู้จัก แต่เป็นแฟนคลับนอก เป็นคนจีนที่เค้ามาดูเรา เริ่มตั้งแต่ที่เค้าอยากเรียนภาษาไทยพยายามจะสื่อสารกับเราเป็นภาษาไทย พยายามจะติดต่อช่องทางต่างๆ ซึ่งคนก็รู้ว่าทางจีนเค้าจะบล็อกให้เล่นแต่แอปฯ ของเค้า แต่ก็ยังมีความพยายามติดต่อกัน หรือว่าการที่เราไปจีนแล้วเค้ามารอซัพพอร์ต มารอที่สนามบินอะไรต่างๆ เราเคยเห็นแต่ในหนังในข่าวเนอะ ศิลปินไอดอลแล้วมีแฟนคลับมากรี้ดๆ เค้าก็เป็นพลังสำคัญ ประชากรเค้าเยอะด้วย แล้วก็ดูจริงจังมาก อย่างวิวเองเนี่ยก็รู้สึกดีเพราะว่าเราเองเรายังดูละครซีรีส์ของต่างชาติ แล้วคือถ้าเราไปต่างชาติแล้วทำไมเค้าไม่รู้จักดาราไทยล่ะ เราอยากให้รู้สึกแล้ววันนึงที่ทางค่ายส่งเราออกไป อย่างน้อยทำให้เค้ารู้จักประเทศไทย รู้จักกรุงเทพฯ ว่าเป็นยังไง ผลงานของเราเป็นยังไงบ้างก็ถือว่าเป็น Soft Power เบาๆ
คุณรับมือกับคอมเมนต์ในโลกออนไลน์ยังไง
วิวอ่านหมดเลย ตอนแรกๆ ก็มีเครียดบ้างเพราะว่ามันจริงไง ว่าอันไหนที่เค้าว่าแล้วมันจริงมันก็รู้สึกแค่ว่า ก็ใช่ เรายังเล่นไม่ดีเลย ก็แข็งจริง ยังพูดแล้วปากเป็นอย่างงู้นอย่างนั้นอย่างงี้ ก็แบบติเนอะ แต่วิวไม่ได้เป็นคนเครียดนานอะค่ะ ดูแล้วอันไหนจริงเราเอามาแก้ไข เหมือนว่าเราต้องพยายามแก้ให้ได้ ต้องค่อยๆ ปรับ แต่ว่าถ้าอันไหนที่มันไม่ได้จริงหรือว่าเกินเราก็ไม่ได้สนใจ เหมือนรู้อยู่ว่าทำอะไร แต่ส่วนคำชมก็เป็นกำลังใจ ไอ้คำด่าก็เป็นแรงผลักดัน ก็เลยไม่ได้เครียดอะไร
ช่วงที่เครียดๆ คุณทำอะไรเพื่อผ่อนคลายตัวเอง
กินของอร่อย ขนม อาหาร เอ็นจอย เข้าร้านสะดวกซื้อก็ถือว่าระบายแล้ว เมื่อก่อนก็จะเล่นดนตรีไง ร้องเพลง ร้องคาราโอเกะอะไรก็ว่าไป เล่นเปียโนที่บ้าน ไม่เครียดนานหรอก เรามีอะไรให้ทำเยอะ ไม่ค่อยได้เศร้าเยอะ แต่ถ้าถามว่าหนักๆ มั้ยไม่ได้โดนว่าหนักขนาดนั้น แต่ไอ้จุดที่ว่าหนักอะ เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่ปัญหาของเรา มันคือปัญหาของเค้า แล้วบางคนมันก็อคติเยอะไปแล้วก็ไม่ได้เก็บมาคิด
มีช่วงที่รับมือกับงานมากไปจนต้องหันกลับมาจัดการเวลาหรือจัดการตัวเองมั้ย
มีค่ะ มีช่วงที่ละครชนกันก็คือถ่าย 7 วันเลย แล้วมันรู้สึกว่าห้ามตายห้ามป่วยอะค่ะ ปกติทำงาน 3-4 วันออกกองทีนึง เราจะมีเวลาพักผ่อน สมมติว่าถ้ารับสองเรื่องแล้วเป็นเรื่องที่ออกกองต่างจังหวัด คือกว่าเราจะกลับถึงบ้านก็ ตี 3 ตี 4 แล้ว 7 โมงก็ไปถ่ายละครต่อ คือเหมือนเวลานอนมันแทบไม่มี แล้วก็ช่วงเมื่อก่อนมันจะไม่มีละครในสต็อก คือมันจะถ่ายไปออกไปอะค่ะ คือรู้สึกแค่ว่ามันเหนื่อยเกิน แล้วคือถ้าเราอ่อนแอหรืออ่อนเพลียเนี่ย สมองจะจำบทไม่ได้ เราจะต้องผลักตัวเอง แต่กลายเป็นว่าเราเหนื่อยมาก กลายเป็นว่าเดี๋ยวมันจะไม่ดีทั้งสองเรื่อง เพราะว่าเราเหนื่อยจากทั้งสองเรื่อง ถามว่าผ่านไปได้มั้ย ผ่านไปได้ด้วยดี แต่รู้สึกว่าเราจะตายแล้วนะ จะหมดแรงแล้วนะ เส้นเลือดในสมองจะแตกมั้ย โชคดีที่เป็นคนแข็งแรงมากไม่เคยป่วย ไม่เคยเข้าโรงพยาบาลล้มหมอนนอนเสื่อ แต่เรารู้สึกว่ามันจะเหนื่อยไปจะไม่ดี หลังๆ แค่ว่าเอาให้มันไปทีละเรื่อง หรือว่าเรื่องหนึ่งใกล้จะปิดกล้องก็ค่อยเริ่มเรื่องใหม่ แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้ได้ตั้งใจรับ 2 เรื่องแต่ว่าการเลทของมันทำให้ชนกันพอดี ก็เลยรู้ว่าตอนนี้แก่แล้วตายไม่ไหว เลยทำให้รู้ว่าทำอะไรทำให้พอดีทำเรื่องหนึ่งให้มันดีไปเลยดีกว่า
มีคนบอกว่ายุคนี้เข้าวงการบันเทิงง่าย ดังง่าย ในฐานะที่คุณเป็นรุ่นพี่ คุณมองมันยังไงบ้าง
ก็จริง ตอนนี้คือมันง่ายขึ้นแล้ว แต่เราก็ไม่ได้ดูถูกเค้า รู้สึกว่าน้องๆ ก็เก่งค่ะ ก็มีโอกาสง่ายขึ้น วงการบันเทิงเมื่อก่อนอาจจะไม่ได้เปิดรับกว้างไกลยิ่งใหญ่ขนาดนี้ แต่ว่าทุกวันนี้สังคมเปลี่ยนไปคนสนใจกับอาชีพนี้ไม่ว่าจะร้อง เต้น หรือว่าเล่นละคร รู้สึกว่ามันเปิดแล้วทั่วโลกก็ให้ความสนใจ ทุกคนเลยก็อยากเป็น ทุกคนก็อยากเล่น อยากทำได้ อยากทำงานได้ อีกอย่างหนึ่งคือ ไม่ว่าจะมีปัญหาและไม่มีปัญหา มีปัญหาคือ อยากเข้ามาทำงานหารายได้อะไรต่างๆ หรือว่าบางคนทำตามความฝัน มันแล้วแต่รุ่นค่ะ อย่างตอนวิวมันก็อาจจะยากหน่อยเพราะว่ายังไม่ได้เปิดรับทางโซเซียลอะไรมากนัก ทุกคนต้องมาแคสต์อย่างจริงจังหรือว่าประกวดเข้ามา มันยังไม่ค่อยมีสายงานไม่ค่อยมีโรงเรียนสอน แต่ตอนนี้มีโอกาสแล้ว ให้ทำให้เต็มที่แล้ว เราจะไปอยู่ได้นานๆ มีงานเยอะๆ มันต้องพิสูจน์ด้วยฝีมือ ความรับผิดชอบ เพราะว่ากระแสมันมาแล้วก็ไป แต่ว่าผลงานของเรามันจะอยู่ตลอดไป
แล้วคุณ “เข้าใจ” อะไรจากการทำงานในวงการบันเทิงบ้าง
คงหมายถึงในการแสดง และแก้ปัญหาที่เคยเจอมา เมื่อก่อนก็จะเป็นคนที่กลัว วิตกจริตหมายถึงฉากต่างๆ ที่อาจจะรู้สึกว่ามันยากแบบกลัวจะเล่นได้มั้ย หรือการแบบติดการร้องไห้ที่มันจะต้องฮือ ไม่สวยงามหรือว่าแบบเล่นเหมือนๆ เดิม คือเรามีความคิดที่เปลี่ยนแปลงแล้วมันทำได้มากขึ้น อย่างในหัวใจรักพิทักษ์เธอ ที่เปลี่ยนแปลงหรือพยายามพัฒนาใหม่ให้มันธรรมชาติ มันกลมกล่อม หรือทำให้ไม่รู้สึกว่ามันฝืนหรือเค้นเกินไปค่ะ เราสบายมากขึ้น หมายถึงว่าเล่นสบายๆ แฮปปี้ มีความสุขในการทำงานมากขึ้น ไม่เครียดเกินไป แต่สื่งที่พัฒนาคือคนที่ร่วมงานด้วยค่ะ ผู้กำกับแบบเมื่อก่อน เราก็จะเป็นน้องน้อยเริ่มต้นที่ทุกคนจะต้องคอยดูแล ผลักดัน ยังต้องคอยช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ในทุกวันนี้ เรารู้สึกว่าเค้าให้เกียรติ ได้เป็นนักแสดงคนนึงที่ได้ช่วยคิด ได้ช่วยเสนอว่าเล่นอะไรดี แล้วก็คนดูเห็นการเติบโตของเรา
ถ่ายภาพโดย ภานุเดช คนเสงี่ยม