มีหลายครั้งที่นัดหมายเพื่อสัมภาษณ์แหล่งข้อมูลหลายๆ คน ทำเราใจเต้น และก็เป็นเช่นเดียวกันกับที่เราได้รับการยืนยันนัดหมายครั้งนี้
เรากำลังจะไปสัมภาษณ์วิลลี่ แมคอินทอช หรือที่เราในออฟฟิศเรียกติดปากตามรายการที่เราชอบดูมากๆ ว่า “นายฝรั่ง”
เชื่อว่าถ้าคุณเปิดโทรทัศน์สุ่มๆ แล้วไล่กดเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ คุณจะต้องเห็นหน้าของวิลลี่บ้างไม่ว่าจะเป็นบทบาทในละครสักเรื่อง หรือหัวเราะร่าในฐานะพิธีกรรายการเกมโชว์หรือวาไรตี้ ที่ล้วนแล้วแต่สร้างความสุขใหักับเราๆ ในฐานะผู้ชม
“พูดตรงๆ ว่าพี่ไม่ได้แคร์เรตติ้งมานานแล้ว” คู่สนทนาตรงหน้าว่าอย่างนั้น
หรือบางทีถ้าเปลี่ยนไปเปิดยูทูป เราก็จะเห็นเขาเล่าเรื่องเกษตรให้เข้าใจง่ายสุดๆ ผ่านการลงมือทำ เพราะอีกขาหนึ่งเราก็จะเห็นเขาจริงจังกับการทำธุรกิจการเกษตรในหลายๆ มิติ ทั้งผักสดปลอดสาร ผงผักสำหรับเด็ก เนื้อไก่และไข่ หรืออาหารสำหรับเพื่อนสี่ขาและปลาคาร์ป ที่ทุกอย่างล้วนแล้วแต่สดใหม่ ไร้สาร เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกล้วนๆ ร้อยเปอร์เซนต์เต็ม
“จุดเริ่มต้นมันมาจากหลาน” คู่สนทนาตรงหน้าบอกถึงจุดเริ่มต้นของต้นทางธุรกิจทั้งหมดไว้
เรานัดพบเขาก่อนจะเริ่มบันทึกรายการมาลัยไฟท์เตอร์ ที่เราก็มารู้ทีหลังว่านั่นคือหนึ่งในเทปรายการล็อตสุดท้ายซึ่งกำลังทยอยออกอากาศจนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้
แต่สาระสำคัญในเวลาชั่วโมงกว่าๆ ก่อนบันทึกเทปที่เราได้คุยกันคือ ทรรศนะและบทเรียนชีวิตของดาราที่อยู่ในวงการกว่า 30 ปีในหลายๆ เรื่องที่เขาพานพบ ประสบการณ์ที่เขาเผชิญความยากลำบากและการทดสอบในหลายแง่ จนเป็นบทเรียนชั้นดีที่เรามีโอกาสได้เรียนรู้จากเขา
จนจบการสัมภาษณ์ เราอยาก “คล้องมาลัย” ขอบคุณเขาจากใจ
ที่ได้แชร์บทเรียนที่มีประโยชน์มากๆ ให้เราได้ฟัง
ถ้ามีโอกาสต้องทำไปก่อน สำเร็จไม่สำเร็จเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“ธุรกิจส่วนใหญ่ของพี่จะเป็นปัจจัย 4 สำหรับผู้บริโภค ส่วนใหญ่คือสิรินทร์ฟาร์ม (Sirin Farm) ที่ทำกับแหม่ม (คัทลียา แมคอินทอช) เป็นไก่-ไข่ Organic ขายดีเพราะคนกินกันอยู่แล้ว วินฟาร์ม (Wynn Farm) ก็ผัก ก็ขายดี Wynn Farm Veggie ที่เป็นผงผักที่ทำมาสำหรับเด็กที่กินผักยากก็จะได้กินซองเดียวที่ไม่ได้เขียวปี๋ มีสารอาหารครบถ้วนมากกว่าสลัดสองจาน ก็ขายดี มี AgrowPlus ซึ่งเป็นบริษัทรับทำต้นไม้ปลูกในแลป เพราะมีข้อมูลว่าปลูกในร่มมันดีกว่าเพราะเป็น Medical Grade ได้ หมายความว่ามันไม่มีสารตกค้าง เราต้องย้ายมาอยู่ข้างในเพราะจากร้อยกว่าปีที่เราใส่ยาฆ่าแมลงกับปุ๋ยเคมีเข้าไปในดินไทย ตอนนี้ไม่มีที่ไหนที่ไม่มีสารตกค้าง เราก็เริ่มสงสัยกันว่าทำไมญาติพี่น้องถึงไม่สบาย เป็นมะเร็งกันเยอะแยะ หรือคุณเคยเอะใจบ้างไหมว่าพวกนี้เป็นสารตกค้างในอาหารที่เรากินกัน เพราะต้องยอมรับว่าพี่เหมือนฝรั่ง พี่เรียนเมืองนอก เพราะฉะนั้นพี่จะเอาความรู้พวกนี้มาดูว่าตรงไหนต้องระวัง
“ยกตัวอย่างเช่นอาหารปลาคาร์ป ที่พี่ยังนำเข้าจากญี่ปุ่น เพราะวัตถุดิบหลักคือโปรตีนจากเนื้อปลา เวลาเอาไปตรวจในแลป ถ้าตรวจโปรตีนแล้วรับประกันว่าเจอแน่คือแคดเมียมกับสารปรอท เราเอาโปรตีนจากเนื้อปลา นั่นหมายความว่าปลาใหญ่เราไม่เอาแน่เพราะขายเป็นตัว ขายเป็นเนื้อ เราเอาปลาซิวปลาสร้อย เอาที่ริมหาด ปลาเศษที่ขายเป็นกะละมัง เอาไปบดทั้งกระดูก พวกนั้นอยู่ตามชายฝั่งปากแม่น้ำ กินแพลงก์ตอน ลูกกุ้งลูกปูที่เป็นไข่ แพลงก์ตอนดูดซับน้ำและสารเคมีที่อยู่ในน้ำ อ้าว ถ้าอย่างนั้นเราย้อนจากชายฝั่งไปที่ปากแม่น้ำ เข้าไปที่แม่น้ำเจ้าพระยา เข้าไปถึงคลองแสนแสบ มันเป็นลูกโซ่ ที่กินกันอยู่มาจากคลองแสนแสบเพราะเราทิ้งไปเอง แล้วมันมาผสมกันหมด พอโปรตีนพวกนี้ไปอยู่ในปลาที่เลี้ยงมันก็จะอยู่ใน Fatty Acid คืออะมิโน 6 และ 3 ในปลา อยู่ตามพุง โหของอร่อยเลย แล้วเราก็แย่งกันกินพุงปลาที่มีสารตกค้าง ก็ไปสะสมในร่างกายคุณ วงจรพวกนี้เราไม่ค่อยสังเกต เรามั่นใจในระบบ มั่นใจในสิ่งที่เขาว่ากันว่าดี แต่เราไม่ได้ตรวจเอง เพราะฉะนั้นพี่ไม่ไว้ใจ พี่หาของพี่กินเองดีกว่าเพราะอย่างน้อยที่สุด ถ้าพี่เป็นในยุคของพี่มันไม่เป็นไร แต่ลูกๆ หลานๆ ไม่ควรมารับผิดชอบสิ่งเหล่านี้เพราะเราไว้ใจไม่ได้หรอก จะกินปลาเราต้องกลับไปดูสิ่งตกค้างตั้งแต่ต้นทาง นี่คือวิธีการคิดของพี่ว่าจะทำอะไรก็ต้องให้ผู้บริโภคปลอดภัยที่สุด
“พี่ทำเยอะเพราะพี่คิดว่าคนทั่วไปไม่ได้มีโอกาสแบบนี้ ถ้ามีโอกาสก็ทำไปก่อน สำเร็จไม่สำเร็จเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ต้องทำให้ได้มากที่สุด”
ทำของ Niche ใจต้องกล้า
“ทำรายการ Mass ไม่ยาก ทำรายการ Niche ใจต้องกล้าเพราะมันไม่ได้เรตติ้ง พี่จะบอกว่าของ Niche ต่างๆ ที่พี่ทำคือของที่พี่ชอบ พี่สนใจก็เลยทำ ไม่อย่างนั้นก็ทำ Mass แล้ว สมมติฮวงจุ้ย (ฮวงจุ้ยหมายเลข 8, ฮวงจุ้ยดีดี) ทำทำไม เพราะพี่โดนมาเยอะ ที่บ้านทำสิบกว่าครั้ง ลองทุกอาจารย์เลยเพื่อจะได้รู้ว่าอันไหนใช่ไม่ใช่ ถ้าไม่ใช่ ถ้ามันเป็นมูเตลูมันคงไม่ตกทอดมา 7,000 ปีจากเมืองจีนแล้วฮ่องกงยังทำอยู่ทุกวันนี้
“นี่คือตัวอย่างของ Niche Market มันคือข้อมูลจริงๆ เพราะมันไม่สามารถไปทางอื่นได้ เอา Fact ของคนที่รู้จริงมาพูดก็เลยกลายเป็น Niche Market คนดูน้อยเพราะไม่บันเทิง มันไม่เอาใจ สังเกตไหมว่าคุณหมอเวลาพูดเขาไม่พูดเอาใจคุณเลย เขาพูด Fact ตรงๆ Character เขาจะมาแบบนั้น เพราะฉะนั้นรายการ Niche Market ก็เหมือนคุณหมอที่บอกเราว่า “ถ้าคุณยังกินเหล้าขนาดนี้ นอนน้อยขนาดนี้ แน่นอนคุณตายเร็วได้” คุณไม่ชอบ มันจะมีอยู่สองทาง คุณเลือกเองว่าอยากได้ข้อมูลแบบไหน”
เมื่อความเห็นไม่ใช่ความจริง
“พูดตรงๆ ว่าพี่ไม่ได้แคร์เรตติ้งมานานแล้ว ไม่อย่างนั้นพี่ต้องทำตามกระแส พี่ต้องหิวแสง แต่พี่ไม่หิวแสง ให้เห็นแค่นี้ ไม่เอาชีวิตส่วนตัวมาตีแผ่ เพราะพี่อยู่มานานแล้ว พี่รู้วิธีการบริหารสิ่งเหล่านี้ แต่บางคนในยุคหนึ่งจะมีข่าวไม่ดีไม่ได้เพราะคนไม่ชอบ แต่ยุคนี้ “Any News is Good News” ขอให้มีข่าว อย่าหาย
ในยุคพี่นักข่าวถือไมค์มา “สวัสดีครับ อยากจะรู้ว่าตอนนี้อยากให้ประเทศไทยพัฒนาไปทางไหน” ถ้ายุค 40-50 ปีก่อนที่พี่อยู่ เขาจะตอบ “ไม่รู้ค่ะ ไม่ทราบ ไม่ขอให้สัมภาษณ์” คนยุคเก่าจะไม่พูดอะไรเลย แต่คนยุคนี้ถูกซ้อมให้แสดงความคิดเห็นซึ่งในบางครั้งเราแยกไม่ออกระหว่างความคิดเห็นกับความจริง เพราะฉะนั้นทุกคนมีสิทธิ์ในการพูด แหย่ไมค์ใครก็ได้ริมถนนทุกคนพูดได้หมดเพราะพร้อมหมดแล้ว มึงแสดงความคิดเห็นเก่งทุกคนเลย แต่ยังไม่ทำการบ้านมานะ คนยุคเก่าไม่พูดเพราะขอไปทำการบ้านก่อนเพราะกูไม่รู้ ไปหาข้อมูลก่อนแล้วค่อยพูด แต่ยุคนี้ไม่ มันก็จะกลายเป็นส่วนที่ลำบากของเราเพราะถ้าคนเหล่านี้มีเยอะ โพลต่างๆ ก็จะลำเอียง สมมติคุณไปถามว่าประเทศไทยอยู่อันดับไหนของโลกในด้านความเจริญ มีคนที่รู้จริงประมาณ 2% คนไม่รู้จริง 98% เพราะฉะนั้นพวกเราฟังข้อมูลนี้มา “คนไทยส่วนใหญ่เห็นว่าประเทศไทยเป็นอันดับ 1 ของโลก” อ้าว ก็มึงไปถาม 98 ที่ไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้นความคิดเราก็จะเปลี่ยนทันทีไม่รู้อะไรเป็นความจริงบ้าง ต้องมากลั่นกรองกันเอง”
Generation Gap
“คือมนุษย์ทุก Generation อยากคุยกันรู้เรื่อง พี่ก็อยากจะคุยกับน้องให้รู้เรื่องเพราะฉะนั้นพี่ต้องไปดูว่าน้องชอบอะไร นี่คืองานหนักขึ้นกว่าเดิมเท่าหนึ่งเพื่อจะเข้าใจเด็ก แต่ถามว่าเด็กพยายามเข้าใจผู้ใหญ่ไหม ผมว่าไม่ ยกตัวอย่าง มีคนมาออกรายการอายุ 15 บอกว่า “พี่วิลลี่ เพิ่งดูพี่เมื่อคืนในยูทูบ” แปลว่ามึงไม่รู้จักกูแล้ว เพราะว่าจะมีคอนเทนต์ที่ส่งให้แต่ละ Generation ไปแล้ว ในสมัยก่อนมีทีวีเครื่องเดียว แม่ดูละครก็คือบังคับดูละครทุกคน กูนั่งดูแล้วรู้จักดาราชุดเดียวกับที่แม่กูรู้จัก ทุกอย่างที่พูดกับแม่และพ่อกูเข้าใจหมดเพราะมันคือคอนเทนต์เดียวกัน ในระหว่างที่เด็กใหม่ๆ อายุ 15 กับ 20 คุยกันไม่รู้เรื่องแล้วเพราะดูคนละอย่าง มันมีคอนเทนต์เด็กอายุ 15 ชอบกับเด็กอายุ 20 ชอบ มันกลายเป็นว่า Generation Gap ของแต่ละรุ่นมี้ข้อมูลในหัวไม่เท่ากัน มีความคิดเห็นไม่เหมือนกัน คุยกันไม่รู้เรื่อง ในฐานะที่ทำทีวีพี่ก็ต้องไปศึกษาเด็กว่าตกลงไปถึงไหน
“พูดตรงๆ ลูกพี่อายุ 11 ฟังเพลงอะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้เรื่องเลย ไม่มีท่อนร้อง แต่ก็พยายามทำความเข้าใจ ถามว่ามันจะมาฟังเพลง Elvis (Presley) ของกูไหม ไม่ฟังเลย ปิดทิ้ง นี่เป็นสิ่งที่บอกว่าในอนาคตเราจะคุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว คุยข้อมูลธรรมดาได้
“อย่างเช่นลองถามคำถาม “คุณคิดอย่างไรกับภาวะโลกร้อนครับ” คนแก่จะตอบแบบหนึ่ง เด็กคิดแบบหนึ่ง ซึ่งไม่รู้จะเจอกันอย่างไร ก็จะมี Conflict เกิดขึ้น พี่คิดว่าไม่มีตัวเชื่อมด้วย ต้องไปหาวิธีการเชื่อม อาจจะต่างฝ่ายต่างปรึกษา ต่างฝ่ายต่างให้เกียรติความคิดเห็นของอีกฝ่าย อย่างหนึ่งที่ต้องทำให้ได้คือเราเถียงกันได้แต่ต้องไม่ทะเลาะกัน สมมติน้องไม่ชอบพี่ พี่ต้องไม่โมโห พี่บอก “ก็กูทำได้แค่นี้ ขอโทษแล้วกัน” แต่มึงอย่าเกลียดกูนะ มึงบอกได้กูรับฟัง กูก็บอกได้มึงก็ห้ามโกรธ เพราะจริงๆ เราต้องการแค่สื่อสารแล้วไม่ทะเลาะกัน แต่ส่วนใหญ่เราเอาอารมณ์มาก่อน ไม่ฟัง ไม่คิดว่าของเขาถูกของเราผิด มันไม่มีทาง ยากมาก พี่คิดว่าส่วนตรงนี้มันต้องพัฒนากันไป
“แล้วพี่คิดว่าเด็กทุกคนคืออนาคต เพราะฉะนั้นเราต้องเตรียมโลกใบนี้ให้เขา เพราะเขาจะรับต่อไปให้ลูกหลานเขา เราไม่ใช่เจ้าของแล้วเขามาเยี่ยมเรานะ โลกใบนี้เป็นของคนรุ่นใหม่ กูใช้มาแล้ว คนรุ่นใหม่อยากได้อะไร กูต้องเตรียมให้มึงรับต่อไปเพราะเดี๋ยวกูก็ตายแล้ว แล้วมึงไปต่ออย่างไรก็คิดเอา การฝากฝังไม่ได้ฝากเรื่องของ “ต้องทำอะไร” มันฝากฝังเรื่องจริยธรรมกับการส่งต่อ
“ไอเดียพวกนี้พี่ได้มาจากที่ดูสารคดีการตีดาบซามูไรของญี่ปุ่น ถามว่าคุณพ่อคุณแม่ คุณปู่คุณย่า รุ่นนั้นสอนกันยังไงวะที่ครอบครัวนี้ทำดาบอย่างเดียวมา 800 ปี เขาคุยกันอย่างไร เขาไม่ได้บอก “เธอต้องทำ” ไม่ เขาแสดงให้เห็นถึงความภาคภูมิใจในอาชีพของเขา ถ้าพี่คุยกับลูกว่า “พ่อเป็นดารา ลูกมาเป็นดาราสิ” เขาบอก “ไม่เอา!” จบละ Generation เดียวจบ เขาส่งต่อกันอย่างไรมา 800 ปี แล้วเราแค่นี้ ขอให้คุณทำอาชีพเดียวกับพ่อแม่คุณ รับประกันได้ว่าเหลือ 0 เปอร์เซ็นต์ ไม่ว่าพ่อแม่คุณทำอะไรมาก็แล้วแต่ คุณมองอาชีพนั้นห่วยแตก แล้วคุณก็หาทางอื่น แค่นี้ก็คุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว
“แหม่… จากตลกๆ กลายเป็นคนมีสาระขึ้นมาทันทีเลย ดูฉลาดเลย นี่กูอ่านเขามา (หัวเราะ)”
ข่าวคือละคร และอย่าให้โจรออกทีวี
“ในอดีตผมก็เป็นคนหนึ่งที่บอกว่า “เฮ้อ ทำไมละครไทยมันตบตีกัน มันวนๆ กับแบบนี้” ง่ายๆ ครับ มันมี 2 แบบ หนึ่ง`เรามาจากรากเหง้าของการเล่นลิเก การแสดงแบบนั้นตกทอดมาเรื่อยๆ สองเรามาจากละครวิทยุ เพราะเขากำลังรีดผ้าเลี้ยงลูกอยู่แล้วก็ฟัง เพราะฉะนั้นต้องพูดให้ชัด ให้เห็นภาพ “ไม่นะ วิศวรุจ จะเดินเข้าไปในครัวอย่างนั้นไม่ได้” “ดิเรกศักดิ์เขารออยู่ด้านนอก” มันเอ่ยชื่อทุกคนเลย (หัวเราะ) มันมาจากรากเหง้าตรงนั้น แล้วสังคมไทยมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ทุกวันนี้คุณดูสิ่งที่ข่าวเสนอกับดูละคร เป๊ะ ไม่มีอะไรเวอร์ ของจริง เราเป็นแบบนั้นจริงๆ
“จริงๆ สังคมไทยกับสิ่งที่เสนออยู่คือละคร ยิ่งเล่าข่าวยิ่งปรุงรสไปใหญ่ สมัยก่อนจะบอกข่าวได้ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงและนำเสนอจึงบอกข่าวได้ เพราะตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว อันไหนยังไม่รู้ห้ามนำเสนอเพราะข่าวเป็นที่พึ่งของคนไทย แต่ทุกวันนี้กลับหัว ไปเปิด Instagram กับ Facebook ใครอัพอะไรบ้าง เอามาลง “เขาว่ากันว่า… ไม่รู้นะครับไม่สามารถยืนยันได้” อันนี้ไม่ใช่เล่าข่าว อันนี้เล่าเรื่องชาวบ้าน “เฮ้ย แต่มีคนนี้ยืนยันว่าจะใช่ว่ะ” “เฮ้ย แต่เขาพูดอย่างนี้ว่ะ” เฮ้ย ถ้าอย่างนั้นพี่ก็อ่านข่าวได้สิ พี่จะอ่านเลย
“อีกอย่างหนึ่งที่พี่คิดว่าเราต้องพัฒนาคือ เราไม่ควรให้โจรออกทีวี คนนี้ทำอะไรไปก็แล้วแต่ ถ้าตำรวจบอกว่าใช่ มึงไม่ได้ออกทีวี ไม่ควรจะถูกสัมภาษณ์ ถ้ายังไม่ถึงขั้นศาลเคาะ มันจะเปลี่ยนรูปคดีทันที ไม่ควรมีการนำเสนอเลย ถึงแม้ว่าคนอยากรู้แต่มันมีผลต่อรูปคดี เอาตามหลักความจริง ต่างประเทศเขาไม่ได้ทำนะ และการเล่าเรื่องของโจร ฆาตกร เป็นรายละเอียดเนี่ย ไม่ควร ถ้าผมถ่ายละครแล้วผมเอาปืนจ่อกันแล้วคุณต้องขึ้นโมเสค ตัดกลับมากับข่าวที่บอก “ผมเดินตามผู้หญิงคนนี้เข้าไปในซอยมืด หลังจากนั้นพอมองซ้ายมองขวาแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้นผมก็เอาน้ำยาตัวนี้ ยี่ห้อนี้ หาซื้อได้ตามเภสัชทั่วไป กับผ้าเช็ดหน้า ผมเทเข้าไปในปริมาณเท่านี้แล้วผมก็ล็อกเธอ หลังจากนั้นเธอก็ร่วงเลยครับ แล้วผมก็ทำนั่นทำนี่” คือมึงไล่เส้นเรื่องให้โจรทำตามได้เลย เรื่องตรงนี้ควรนำเสนอเหรอ มันเป็นข้อมูลที่ทำให้โจรพัฒนาไปด้วย ข้อมูลบางอย่างต้องถูกควบคุม ถ้าจะอยู่ในสังคม ผมว่าควบคุมตรงนี้ดีกว่าควบคุมอย่างอื่น มันทำให้คนปกติที่เป็นคนดีและอยากอยู่ในสังคมดีๆ มีความมั่นใจว่าไม่ต้องระแวง ไม่ต้องป้องกันตัวและคิดว่าสังคมจะดีขึ้นด้วย เพราะตอนนี้เรานำเสนอข้อมูลอะไรไปก็เป็นข้อมูลของสิ่งที่ไม่ดี ในส่วนที่ดีๆ ยังไม่มีแค่นั้นเองครับ”
พิธีกรที่ดีคือตัวส่ง ไม่ใช่ตัวตบ
“บอกเลยว่า JSL Global Media เป็นที่แจ้งเกิดของผมและหลายต่อหลายคนมาก เป็นโรงเรียนสำหรับคนบันเทิงที่ประสบความสำเร็จเยอะมาก และก็ปั้นคนมาแล้วเจริญรุ่งเรือง คุณไปไล่ดูว่าใครมาจาก JSL บ้างแล้วคุณจะบอก “อู้หู้ เจ้าของช่อง เจ้าของรายการทั้งนั้นเลย” และการกลับมามันเหมือนคืนสู่เหย้า เรียกปุ๊บกลับมาทำทันที ไม่ต้องคุย
“แต่ถามผมว่าความยากคืออะไร ความยากของพิธีกรรับจ้างก่อน หนึ่ง-ทำให้คนหมู่มากดูเมื่อคนหมู่มากดูแล้วความรู้สึกของคนมีเยอะ ร้อยพ่อพันแม่ แต่ละคนชอบแบบหนึ่งไม่ชอบแบบหนึ่ง พิธีกรรับจ้างต้องตอบโจทย์ ภาพที่บริษัทเห็น ก็ต้องทำตามนั้น สอง-แขกรับเชิญที่มาก็มีอีกภาพหนึ่งของเขาด้วย เราเป็นพิธีกรก็ต้องเอาใจเขาใส่ใจเรา นำเสนอในภาพที่เขาอยากได้ด้วยเหมือนกัน สาม-ประชาชนคนไทยอยากเห็นอะไร ก็ต้องนำเสนอภาพนั้นให้เขาด้วย ผู้เข้าประกวดอีก คนนี้ไม่เคยออกทีวี ก็ต้องดูแลเป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นการทำพิธีกรเป็นเรื่องที่ยากมากถ้าคุณเป็นคนที่ใส่ใจทุกคน พิธีกรต้องไม่โดดเด่น ต้องเป็นตัวส่งลูก เราต้องดัน ถ้าพิธีกรไปขี่ใครหรือไปกลบใครรายการจะไม่สนุกแล้วเพราะเราเป็นตัวหลักในการแหย่ “อย่านิ่ง ผมรู้คุณมีของอยู่ ปล่อยออกมาเดี๋ยวนี้” ต้องดูว่าคนไหนเงียบ เงียบไม่ได้นะ คนไหนเงียบก็หาทางเล่นกับเขาเพื่อให้เขาได้ซีน ทุกคนที่ออกทีวีต้องได้ซีนเพื่อจะได้ไม่หายไป แล้วกลายเป็นว่าทุกอย่างกลมกล่อมอร่อยพอดีเลย”
วงการบันเทิงต้องเล่นเป็นทีมเท่านั้น
“ก่อนหน้านี้พี่ก็พยายามพัฒนาตัวเองเรื่อยๆ เพราะมันอยู่นิ่งไม่ได้ไง ก่อนเป็นพิธีกรพี่ก็ไปถามพี่ต๋อย-ไตรภพ (ลิมปพัทธ์) พี่ตา-ปัญญา (นิรันดร์กุล) พี่วิทวัส (วิทวัจน์ สุนทรวิเนตร) ว่าผมเป็นพิธีกรเนี่ยต้องไปเลียนแบบใคร เขาก็ตอบกันหมดว่า เป็นตัวของตัวเองอย่าไปก็อปใคร ถ้าคุณก็อปเมื่อไหร่คุณจะเป็นภาพขาวดำเท่านั้น ถ้าเลือกได้เขาจะดูภาพสี สมมติว่าคุณเลียนแบบพี่ต๋อยเหมือนมาก แต่พี่ต๋อยยังอยู่ในทีวี และคุณก็พูดเหมือนพี่ต๋อย เขาจะเลือกดูใคร ก็ดูพี่ต๋อย อันนี้ต้องหาที่ของตัวเองให้ชัดเจน และพี่ไม่มีองค์ คือพี่ก็เป็นไปเรื่อย ไม่ได้ติดหล่อ พี่บ้าๆ บอๆ ไม่ต้องเท่ แต่เขาก็พยายามยัดเยียดความเท่ความหล่อให้ตลอดนะ แต่พี่รู้ว่ามันไม่จีรัง อย่างไรก็เหี่ยวก็ยุ่ยไปหมด เพราะฉะนั้นเอาคาแรกเตอร์จากข้างในออกมาแล้วก็เล่นแบบที่อยากเล่น
“ทุกวันนี้พี่รับงานจากที่ดูว่าละครมีใครเล่นบ้าง ไม่ดูบทด้วย กูยังไม่เจอใครบ้าง กูคิดถึงเพื่อนคนไหนบ้าง อย่างล่าสุดติดต่อมา เอาใครเล่นมาก่อน มีแซม-ยุรนันท์ (ภมรมนตรี) แอน-สิเรียม (ภักดีดำรงฤทธิ์) กบ-ทรงสิทธิ์ (รุ่งนพคุณศรี) หนุ่ม-คงกระพัน (แสงสุริยะ) อ่ำ-อมรินทร์ (นิติภณ) โอ้โห เรื่องนี้ต้องรับว่ะ กองถ่ายต้องสนุกแน่ เล่นเป็นอะไรไม่รู้แต่รับไปก่อน เพราะมันไม่ได้เจอใครเลย ความสนุกของชีวิตจริงๆ แล้วมันไปเร็วมาก พี่ไม่รู้ดวงเป็นอะไร ถ้าไม่ขยับไม่ได้ตังค์ เพราะฉะนั้นมันเคลื่อนไหวตลอดเวลา มันเดินหน้าอย่างเดียว ไม่ได้เหลียวหลัง พอเหลียวหลังปุ๊บ ไม่ได้เจอเพื่อนมา 15 ปี พี่ก็กลายเป็นคนเอาแต่งาน โดยที่งานเลี้ยงรุ่นก็ไม่ได้ไป เจอก็ไม่ได้เจอ ทุกอย่างไม่มีเลยเพราะมีคิวเต็มทุกวัน แล้วกลายเป็นวันหนึ่งเจอเพื่อนที่โตมาด้วยกันแล้วจำชื่อไม่ได้ อันนี้เป็นส่วนที่เสียเพราะพี่เมมแล้วลบ เมมแล้วลบทุกชั่วโมง ฮาร์ดดิสก์จะไม่ค่อยดี หน้าจะไม่ลืมแต่ลืมชื่อ วันนี้เป็นพิธีกรอีกวันหนึ่งไปเล่นละคร แล้วกลับมาเป็นพิธีกรอีกที จำคนนั้นคนนี้แล้วลบทิ้ง กลับไปบ้านก็เรียก “ที่รัก” เพื่อความปลอดภัยเพราะเมียชื่ออะไรกูยังจำไม่ได้เลย (หัวเราะ) ที่รักไว้ก่อน เพราะถ้าเรียกผิดขึ้นมาฉิบหายเลย
“แต่วิธีการรับงานเดี๋ยวนี้พี่ว่างานอะไรก็ได้ พี่พร้อมปรับตัวเข้ากับงานเพื่อที่จะทำงานเป็นทีม พี่เป็นตัวส่ง ไม่ใช่ตัวตบ เพราะมันจะแย่งอาชีพคนอื่นไปหมด ชงเอง ตบเอง แดกเองอยู่คนเดียวไม่เผื่อแผ่ใคร มันโดดเด่นแต่ไม่มีใครอยากเจอมึงนะ วงการบันเทิงต้องเล่นเป็นทีมเท่านั้น ถ้าฉายเดี่ยวต้องเป็นนักร้อง เล่นเป็นทีมต้องกลมกล่อมถึงจะอร่อยครับ”
ถ้าให้สรุปชีวิตในวงการบันเทิงตลอด 30 ปีเป็นบทเรียนได้หนึ่งข้อ ชีวิตของวิลลี่ แมคอินทอช สอนให้รู้ว่า
ไม่มีอะไรที่แน่นอนและจีรัง
เอาตั้งแต่ตอนเรียน ปักธงเนี่ยถอนแล้วปักใหม่เป็นร้อยกว่าครั้งแล้วมั้ง (หัวเราะ) ตอนเรียนปักธงว่ากูต้องเป็นนักบินเพราะพ่อเป็นนักบิน แม่อยู่การบินไทย ปึ้ง! เบนเข็ม สอบนักบินไม่ผ่าน เป็นดารา ปักๆ อยู่ดีๆ ตั้งบริษัทใหญ่โตมโหฬารจะเข้าตลาด เอ๊ะ บุคลิกต้องเปลี่ยนนะ เข้าตลาดจะตายไม่ได้นะถ้าตายหุ้นตก ขาหักก็หุ้นตกแล้วนะ ไอ้หอย (เสนาหอย-เกียรติศักดิ์ อุดมนาค) มึงจะนั่งอยู่หน้าห้องน้ำหญิงตามผับตามบาร์ไม่ได้แล้วนะ มันเสียบุคลิก มึงพร้อมเปลี่ยนหรือเปล่า ไม่เปลี่ยนก็ปักธงใหม่
ชีวิตมันไม่มีความแน่นอน เพราะฉะนั้นพี่ใช้คำนี้ที่ใช้ตลอดเวลา มาจากสารคดีสัตว์ป่าของ Charles Darwin ว่า “สัตว์ที่พร้อมปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมเท่านั้นถึงจะอยู่รอด” พี่ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมตลอดเวลาเพื่อจะอยู่รอดเท่านั้น ไม่ได้วางแผนอะไรเลย คือจะเห็นว่าสัตว์ที่อยู่รอดทุกวันนี้ปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมง่ายมาก พี่ก็เป็นสัตว์ตัวนั้นที่ปรับตัวง่ายสุด เร็วสุด แต่ถ้าคุณไม่ยอมเปลี่ยนคุณก็สูญพันธุ์
ง่ายๆ พี่เหมือนแมลงวันหัวเขียวเพราะกองขยะมันเยอะ (หัวเราะ)