บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ได้แจ้งงบการเงินประจำปี 2567 แก่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยแจ้งว่ากลุ่ม WORK มีรายได้รวมจากทุกช่องทางอยู่ที่ 2,339.78 ล้านบาท ลดลงจากปี 2566 ประมาณ 79 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 241.64 ล้านบาท 

ส่องรายได้ของ WORK

โดยในปี 2567 กลุ่ม WORK มีรายได้จากกลุ่มโทรทัศน์อยู่ที่ 1,643.78 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนอยู่ที่ประมาณ 250 ล้านบาท ในขณะที่รายได้กลุ่มรับจ้างจัดงานกลับเติบโตขึ้น โดยมีรายได้ในปี 2567 อยู่ที่ 282.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณ 124 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งมาจากการขายกิจกรรมพ่วงกับรายการโทรทัศน์ ทำให้เพิ่มสัดส่วนลูกค้าตามไปด้วย กิจกรรมที่สำคัญในปีที่ผ่านมาคือ TikTok Award Thailand 2024, งานกาชาด 2567 และ CJ More ไมค์ทองคำ ออนทัวร์ Season 3

ส่วนรายได้จากจากคอนเสิร์ตและละครเวที ในปี 2567 มีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 323.97 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 32.53 ล้านบาท) โดยในปี 2567 บริษัทฯ มีคอนเสิร์ตและละครเวทีที่จัดขึ้นมากกว่าปีก่อนอีกด้วย และรายได้จากการขายสินค้าและบริการอื่น เช่น การให้เช่าโรงละคร และการจัดหานักแสดง มีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 89.42 ล้านบาท เพิ่มจากปีก่อน 16.48 ล้านบาท ทำให้จากรายได้ทั้งหมดกว่า 2,339.78 ล้านบาท มีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 387.74 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี จากการตั้งด้อยค่าสินทรัพย์ไม่มีตัวตน โดยเฉพาะลิขสิทธิ์ละครโทรทัศน์ ทำให้ค่าใช้จ่ายในการบริหารสูงขึ้นถึง 72.54 ล้านบาท เมื่อประกอบกับค่าใช้จ่ายในการขาย รวมกันประมาณ 702 ล้านบาท ทำให้กำไรสุทธิติดลบ (ขาดทุน) อยู่ที่ 241.64 ล้านบาท จากที่ปีก่อนมีกำไรสุทธิ 12 ล้านบาท ส่งผลทำให้บริษัทฯ จะมีการพิจารณาถึงการงดจ่ายปันผลในปีนี้

เข้าซื้อ TPOP ควบคุมเต็มตัว

ในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 ของบริษัท ทีป๊อป อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (“TPOP”) เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2567 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบในการแก้ไขสัญญา Investment Agreement และข้อบังคับของบริษัท โดยบริษัท เอสซีบี เท็นเอกซ์ จำกัด ประสงค์ที่จะสละสิทธิในการแต่งตั้งกรรมการ มีผลทำให้บริษัท ไทย บรอดคาสติ้ง จำกัด มีอำนาจควบคุมในบริษัทดังกล่าว ส่งผลให้ TPOP เป็นบริษัทย่อยของกลุ่มบริษัท

ทำให้ในระหว่างงวดนับตั้งแต่วันที่ได้มาซึ่งอำนาจควบคุมจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567 TPOP มีรายได้เป็นจำนวนเงิน 136.57 ล้านบาท และขาดทุนจำนวนเงิน 97.82 ล้านบาท ซึ่งรวมเป็นส่วนหนึ่งของผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัท ฝ่ายบริหารคาดว่าหากกลุ่มบริษัทได้มีมาซึ่งอำนาจควบคุม TPOP ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 จะมีรายได้รวมเพิ่มขึ้นจำนวนเงิน 238.36 ล้านบาท

นอกจากนี้ ตามที่กลุ่มบริษัทมีอำนาจควบคุมในบริษัท TPOP จึงมีสถานะเป็นบริษัทย่อยของกลุ่มบริษัท ดังนั้นกลุ่มบริษัทจึงต้องรับรู้มูลค่าส่วนได้เสียที่ถืออยู่ใน TPOP ก่อนหน้าที่จะได้รับอำนาจควบคุมโดยใช้มูลค่ายุติธรรม ณ วันที่ได้รับอำนาจควบคุมและรับรู้ผลต่างดังกล่าวในงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ ทำให้การเข้าซื้อ TPOP บริษัทได้รับกำไรจาการรับรู้มูลค่าส่วนได้เสียอยู่ที่ 17.80 ล้านบาท

โคตรคูลคว้ารายได้ 106 ลบ.

นอกจากนี้ ในกลุ่มบริษัทร่วมและการร่วมค้าที่มีสาระสำคัญนั้น มีการแสดงงบการเงินของบริษัทร่วมที่ WORK เข้าไปดำเนินการร่วมทุนด้วย โดยพบว่า บริษัท โคตรคูล จำกัด มีรายได้ในปี 2567 รวมทั้งสิ้น 106.02 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 17.42 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมี บริษัท คาร์แมน ไลน์ สตูดิโอ จำกัด ที่มีรายได้ในปี 2567 รวม 82.41 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 11.06 ล้านบาท

ส่วนกิจการร่วมค้า ภาพยนตร์ “ศึกค้างคาวกินกล้วย” นั้น ถูกแจ้งในงบการเงินว่ามีรายได้ 1.05 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิ 11.70 ล้านบาท

WORK ลงทุนต่อเนื่อง

สำหรับเหตุการณ์หลังจากการปิดงบประจำปี 2567 นั้น พบว่า WORK มีการลงทุนร่วมทุนเพิ่มเติมจำนวน 2 กรณี โดยเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2568 บริษัท ไทย บรอดคาสติ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ได้ทำสัญญาร่วมลงทุนในกิจการร่วมค้าภาพยนตร์ เดอะ สโตน เป็นจำนวนเงิน 27.20 ล้านบาท และเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 บริษัท ไทย บรอดคาสติ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ได้ทำสัญญาร่วมลงทุนลงทุนในกิจการร่วมค้าแซลมอน-เวิร์ค เป็นจำนวนเงิน 4.80 ล้านบาท 

Content Creator

  • ณตภณ ดิษฐบรรจง

    บรรณาธิการบริหาร THE F1RST แมกกาซีนออนไลน์ที่เล่าทุกเรื่องราวให้เข้าใจง่าย ผ่านมุมมองของคนรุ่นใหม่